พาเที่ยวสถานที่น่าสนใจ ผ่อนคลายกันหน่อยจ้า สินค้าเก่าใหม่มากมาย ข่าวคราวรอบเกาะ สาระต่างๆมากมาย ดูดวงกันให้บันเทิงไปเลย เวบไหนน่าดู คลิ้กเลย อายุไม่เกิน 18 ปี ห้ามเข้า!!! หาที่พัก ก็คลิ้กเลย คลิ้กเลย คุยได้ทุกเรื่อง
  ไทยทูไกด์ เวบภูเก็ตอีกแห่งที่แผนที่สวยมาก
  เวบขายของมือสอง ของคนภูเก็ตจ้า
  เกตเวย์ เอเจนซี่ทัวร์
  ชาวร้อคขาเมทัล คลิ้กเลย
  ไชโยอีเมล์ ฟรีอีเมล์
0 บอร์ดของคนภูเก็ต
  สนุก เป็นเวบท่าดีๆที่สนุกสมชื่อ
  นี่ก็ หรรษา เวบท่าอีกเหมือนกัน

แฟชั่นรอบเกาะ ข่าวความเคลื่อนไหวของวงการแฟชั่นบ้านเรา จะอินเทรนด์หรือเปล่าก็มาดูกันครับ เอ้า สาวๆ อัพเดตตัวเองกันหน่อย เร้ว เดี๋ยวจะตามเค้าไม่ทัน ใครมีคำแนะนำ หรือต้องการส่งรูปมาร่วมสนุกกับโอโซน ก็ส่งมาได้ที่ [email protected]

 

 

 สู้เพื่อใคร   Reviewed by: สุกรี
 


ป้ายที่เขียนว่า "ที่นั่งสำหรับคนผิวสี" ในรถประจำทาง ตอนต้นเรื่องที่อาลีในวัยเด็กเห็นนั้น แทบจะบอกทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้กำลังดูหนังที่เป็นเพียงแค่ หนังอัตชีวประวัติของนักมวยสากล ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่เราจะได้ดูหนังที่แสดงให้เห็นถึง การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ, เสรีภาพ, ความเท่าเทียมกันในสังคม ของคนคนหนึ่ง และคนกลุ่มหนึ่ง

 
 
  วิจารณ์
 


อาลีในตอนแรก อาจจะดูเหมือนว่าเขาสู้เพียงเพื่อแค่ชื่อเสียงเกียรติยศ และตำแหน่งแชมป์มวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวท แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาพบว่าเขาแบกภาระของการต่อสู้เพื่อพี่น้องคนผิวดำ หรือ แอฟโฟร-อเมริกัน เอาไว้ด้วย บางทีอาลีอาจจะรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่เรายังไม่ได้เห็นความชัดเจนในความตั้งใจจริงของเขา หรืออาลีอาจจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเขาชกมวยเพื่ออะไรกันแน่ จวบจนเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงช่วงหลัง

อาลีในช่วงแรกของชีวิต คือความหยิ่งผยอง และวาทะที่กล้าบ้าบิ่น แม้หลาย ๆ ครั้งจะฟังดูโอหังเกินไป แต่กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันที่ต้องยอมรับว่า มันกลายเป็นเสน่ห์ของนักมวยคนนี้ไปได้ เขาไม่กลัวใคร ไม่กลัวที่จะต้องทำอะไรตามใจตัวเอง แม้มันจะขัดแย้งกับความเชื่อของคนรอบตัว หรือคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อมุสลิม มูฮัมหมัด อาลี หรือตอนที่เขาตัดสินใจต่อสู้กับรัฐของอเมริกา ด้วยการปฏิเสธที่จะรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารไปรบที่เวียดนาม เขายืนหยัดอยู่ด้วยความเชื่อมั่นในความถูกต้องของตนเองทั้งนั้น แม้มันจะทำให้เขาต้องอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตก็ตาม

และเมื่อเวลาพลิกผันที่นำความรุ่งเรืองที่สุดของชีวิตกลับสู่เขาอีกครั้ง กับศึกมวยครั้งสำคัญของเขากับ จอร์จ โฟร์แมน ที่ประเทศซาอีร์ ภาพที่เขาได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากชาวซาอีร์ ด้วยการตะโกนชื่อเขา และรายล้อมเขาไปตลอดเมือง

ถ้าเพียงแต่หนังเรื่องนี้จะจบด้วยภาพนี้…

ความยาวที่มากไปคือจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเป็นความถนัดหรือเอกลักษณ์ที่ ไมเคิล มานน์ (The Insider, Heat) จงใจเก็บไว้เป็นส่วนตัวหรือไม่ ผมพบว่าตัวเองนั่งดูอาลีอย่างเหนื่อยล้าขึ้นทีละนิดในตอนท้าย ๆ เหตุการณ์มวยนัดประวัติศาสตร์ที่ซาอีร์นั้น ถ้าเพียงแต่ ไมเคิล มานน์ จะสรุปด้วยภาพของอาลีกลับอาฟริกา สถานที่ซึ่งเปรียบดั่งบ้านเกิดในเบื้องลึกของจิตใจคนผิวดำทุกคน เพราะว่าภาพของอาลีถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนชาวซาอีร์มากมาย และภาพวาดตามผนังกำแพงของเขานั้น สวยงามและยิ่งใหญ่ เ ป็นการสรุปเรื่องที่กระชับได้สื่อถึงใจความครบถ้วนดีอยู่แล้ว

ไมเคิล มานน์ อาจจะเสียดายภาพศึกมวยที่ยิ่งใหญ่นัดที่ถูกขนานนามว่า "Rumble in The Jungle" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องไม่ลืมว่า เมื่อหกปีที่แล้วหนังสารคดีเรื่อง When We Were Kings ได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์นั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์ดีพร้อมมาแล้ว ภาพที่ออกมาใน Ali เลยหลีกเลี่ยงการถูกนำไปเปรียบเทียบ กับภาพจากภาพเหตุการณ์จริงแบบในหนังสารคดีของ When We Were Kings ไม่พ้น

หนัง Ali เรื่องนี้ ถ้าจะเปรียบกับนักมวย คงเป็นมวยที่หวือหวา ลีลาแพรวพราวน่าชม และมีหมัดแย๊บที่รบกวนคู่ต่อสู้อย่างได้ผลเป็นระยะ ทั้งในส่วนของนักแสดง โดยเฉพาะเลยก็คือ วิลล์ สมิธ ผู้ที่ทำให้ผมต้องทึ่งกับความพยายามในการเปลี่ยนแปลงร่างกาย เพื่อทุ่มเทให้กับบทนักชกแห่งประวัติศาสตรคนนี้ ความลื่นไหลที่เป็นเสน่ห์ส่วนตัวของเขามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ก็เหมาะสมกับฝีปากขี้โม้ขี้โอ่ของ มูฮัมหมัด อาลี ได้ดี ลีลาการชกมวยดูน่าเชื่อจริง ๆ แม้ว่าอาลีตัวจริงที่ผมเคยเห็นจาก When We Were Kings นั้นดูมีแววตาของความดุดันโกรธแค้นอยู่มากกว่าสมิธ ที่หลาย ๆ ครั้งดูจะออกโทนอบอุ่นและเบาความดุดันกว่า

ในส่วนของดาราประกอบที่รายล้อมนั้น ก็นับว่าเป็นทีมนักแสดงที่ได้รับการแจกจ่ายบทที่โดดเด่นกันได้ทั่วถึงเกือบทุกคน ทั้งฝั่งชายและหญิง แต่ที่ติดใจผมจริง ๆ คือ บท โฮเวิร์ด โคเซล โฆษกกีฬาช่วงสัมภาษณ์ของเอบีซี ที่ถ้าไม่บอกกันก่อนหรือปิดเครดิตบางช่วงทิ้งเสีย คงจะเดากันออกยากว่าเป็น จอห์น วอยท์ ที่มารับบทนี้ การแสดงของเขาและตัวบทนี้ทำออกมาได้ดี รับส่งกับตัวอาลีได้กลมกลืนมาก เหมือน ๆ กับในชีวิตจริงที่อาลีและโคเซลช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ แต่เมคอัพที่คงจงใจทำให้วอยท์ออกมาดูเหมือนโคเซลที่สุดนั้น ดูปลอม และกลับทำให้โคเซลออกมาดูน่ากลัวนิด ๆ จริงอยู่ว่าวิกผมนั้นดูเป็นวิกผมดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่สำหรับใบหน้า หลาย ๆ ครั้งการให้แสงกลับทำให้ดูเหมือน จอห์น วอยท์ ใส่หน้ากากปลอมตัวหลงมาจากหนัง Mission Impossible ไปเสียได้

แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังมีจุดเด่นที่สำคัญ เป็นดั่งลีลามวยที่หวือหวา นั่นคือ งานกำกับภาพโดย เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้ (Sleepy Hollow, The Great Expectations, Reality Bites ฯลฯ) ที่ผสมผสานภาพแบบเกรนหยาบของกล้องแคมคอร์ดเดอร์กับภาพแบบแฮนด์เฮลด์แบบรายงานข่าวสอดแทรกเป็นระยะ โดยรวม ๆ แล้วภาพที่ออกมาในอาลี มักจะเน้นองค์ประกอบและมุมมองแบบที่ค่อนข้างเจาะเน้น หลายครั้งที่ภาพดูแน่นด้วยความจงใจ เน้นอารมณ์หนังในช่วงที่อาลีถูกกดดันจากเรื่องราวรอบตัวได้ดี เราจึงไม่ค่อยได้เห็นภาพมุมกว้าง หรือมุมไกลแบบสบาย ๆ ตานัก

ในส่วนเรื่องของสีและแสง ก็ยังคงมีภาพแนวสีโมโนโทนที่เน้นสีใดสีหนึ่งเป็นหลัก แบบที่มักจะเห็นบ่อย ๆ ในหนังของ ไมเคิล มานน์ ฉากชกมวยของอาลีก็ใช้เทคนิคทางด้านภาพได้หวือหวาแปลกตาดี นี่คือจุดเด่นที่ชัดเจนของหนังเรื่องนี้ นอกจากบทและการแบ่งเรื่องราวจากช่วงชีวิตของ มูฮัมหมัด อาลี ที่จะเล่ามาเรียบเรียงออกมาเป็นบทก็เกือบดีพร้อมแล้ว หนัง Ali น่าจะน๊อคใจคนดูได้ ถ้าเพียงแต่จะยอมลดทอนเนื้อหาในตอนท้ายลงอย่างที่ผมบอกไป นี่เลยกลายเป็นมวยสวยชกได้น่าดู แต่ไม่มีหมัดเผด็จศึกปิดบัญชี ได้แต่เต้นแย๊บตัดลำตัวไปเรื่อยจนเหนื่อย

อาลีไม่ใช่หนังมวยแนว Rocky แต่เป็นเรื่องราวของความขัดแย้งทางศาสนาและสีผิวในสังคม ที่ถ่ายทอดมาผ่านชีวิตของคนคนหนึ่ง อาจจะเป็นสิ่งที่ไกลตัวสังคมไทย ความรู้สึกร่วมจึงอาจจะน้อยกว่า สิ่งที่เรารับรู้ก็คงจะผ่านทางสื่อต่าง ๆ และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ซึ่งเราได้เห็นการต่อสู้ การปะทะที่เกิดจากความขัดแย้ง และนำพาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่า เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ยังกลัวความแตกต่างเสมอ



--------------------------------------------------------------------------------

"Do not listen to a word I say. Just listen to what I can keep silent."
From The Holy Bible
By Manic Street Preachers

 
 

 

 

 

ผู้วิจารณ์

 


สุกรี - หนุ่มตี๋ใจดี ใจเด็ก อายุใกล้เลข 3 รูปร่างสันทัด สูง 170 หนัก 74 รักทะเล แต่ว่ายน้ำไม่เป็น สีที่ชอบ ฟ้าแบบท้องฟ้า คติประจำใจ "ดูหนัง ต้องดูในโรงสิครับ" รักวีดีโอเกมทุกประเภท ฟังเพลงเกือบทุกแนว แต่ลำเอียงกับดนตรี จากอังกฤษเป็นพิเศษ เป็นมนุษย์ 80's บ้านใกล้โรงหนังมาตลอดตั้งแต่เกิด นิยมการกินและชิมอาหารอร่อย ๆ ยังพยายามที่จะปรุงและทำอาหารเองอยู่ แต่ไม่ค่อยมีเวลาทำเพราะมัวแต่ตระเวนชิม ปัจจุบัน......... โสด สนใจพบเขาได้ ตามโรงหนังย่านใจกลางเมือง (ที่รถไฟฟ้าผ่าน) พันทิพย์พลาซ่า สะพานเหล็ก มาบุญครอง สยาม ฯลฯ
Design By Chavapong Prateep Na Thalang Tel. 01 537 2360  www.ozone.com