อาลีในตอนแรก อาจจะดูเหมือนว่าเขาสู้เพียงเพื่อแค่ชื่อเสียงเกียรติยศ
และตำแหน่งแชมป์มวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวท แต่เมื่อเวลาผ่านไป
เขาพบว่าเขาแบกภาระของการต่อสู้เพื่อพี่น้องคนผิวดำ
หรือ แอฟโฟร-อเมริกัน เอาไว้ด้วย บางทีอาลีอาจจะรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
แต่เรายังไม่ได้เห็นความชัดเจนในความตั้งใจจริงของเขา
หรืออาลีอาจจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเขาชกมวยเพื่ออะไรกันแน่
จวบจนเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงช่วงหลัง
อาลีในช่วงแรกของชีวิต
คือความหยิ่งผยอง และวาทะที่กล้าบ้าบิ่น
แม้หลาย ๆ ครั้งจะฟังดูโอหังเกินไป แต่กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันที่ต้องยอมรับว่า
มันกลายเป็นเสน่ห์ของนักมวยคนนี้ไปได้
เขาไม่กลัวใคร ไม่กลัวที่จะต้องทำอะไรตามใจตัวเอง
แม้มันจะขัดแย้งกับความเชื่อของคนรอบตัว
หรือคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อมุสลิม
มูฮัมหมัด อาลี หรือตอนที่เขาตัดสินใจต่อสู้กับรัฐของอเมริกา
ด้วยการปฏิเสธที่จะรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารไปรบที่เวียดนาม
เขายืนหยัดอยู่ด้วยความเชื่อมั่นในความถูกต้องของตนเองทั้งนั้น
แม้มันจะทำให้เขาต้องอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตก็ตาม
และเมื่อเวลาพลิกผันที่นำความรุ่งเรืองที่สุดของชีวิตกลับสู่เขาอีกครั้ง
กับศึกมวยครั้งสำคัญของเขากับ จอร์จ โฟร์แมน
ที่ประเทศซาอีร์ ภาพที่เขาได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากชาวซาอีร์
ด้วยการตะโกนชื่อเขา และรายล้อมเขาไปตลอดเมือง
ถ้าเพียงแต่หนังเรื่องนี้จะจบด้วยภาพนี้
ความยาวที่มากไปคือจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้
ไม่รู้ว่าเป็นความถนัดหรือเอกลักษณ์ที่
ไมเคิล มานน์ (The Insider, Heat) จงใจเก็บไว้เป็นส่วนตัวหรือไม่
ผมพบว่าตัวเองนั่งดูอาลีอย่างเหนื่อยล้าขึ้นทีละนิดในตอนท้าย
ๆ เหตุการณ์มวยนัดประวัติศาสตร์ที่ซาอีร์นั้น
ถ้าเพียงแต่ ไมเคิล มานน์ จะสรุปด้วยภาพของอาลีกลับอาฟริกา
สถานที่ซึ่งเปรียบดั่งบ้านเกิดในเบื้องลึกของจิตใจคนผิวดำทุกคน
เพราะว่าภาพของอาลีถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนชาวซาอีร์มากมาย
และภาพวาดตามผนังกำแพงของเขานั้น สวยงามและยิ่งใหญ่
เ ป็นการสรุปเรื่องที่กระชับได้สื่อถึงใจความครบถ้วนดีอยู่แล้ว
ไมเคิล
มานน์ อาจจะเสียดายภาพศึกมวยที่ยิ่งใหญ่นัดที่ถูกขนานนามว่า
"Rumble in The Jungle" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องไม่ลืมว่า
เมื่อหกปีที่แล้วหนังสารคดีเรื่อง When
We Were Kings ได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์นั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์ดีพร้อมมาแล้ว
ภาพที่ออกมาใน Ali เลยหลีกเลี่ยงการถูกนำไปเปรียบเทียบ
กับภาพจากภาพเหตุการณ์จริงแบบในหนังสารคดีของ
When We Were Kings ไม่พ้น
หนัง
Ali เรื่องนี้ ถ้าจะเปรียบกับนักมวย คงเป็นมวยที่หวือหวา
ลีลาแพรวพราวน่าชม และมีหมัดแย๊บที่รบกวนคู่ต่อสู้อย่างได้ผลเป็นระยะ
ทั้งในส่วนของนักแสดง โดยเฉพาะเลยก็คือ
วิลล์ สมิธ ผู้ที่ทำให้ผมต้องทึ่งกับความพยายามในการเปลี่ยนแปลงร่างกาย
เพื่อทุ่มเทให้กับบทนักชกแห่งประวัติศาสตรคนนี้
ความลื่นไหลที่เป็นเสน่ห์ส่วนตัวของเขามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
ก็เหมาะสมกับฝีปากขี้โม้ขี้โอ่ของ มูฮัมหมัด
อาลี ได้ดี ลีลาการชกมวยดูน่าเชื่อจริง
ๆ แม้ว่าอาลีตัวจริงที่ผมเคยเห็นจาก When
We Were Kings นั้นดูมีแววตาของความดุดันโกรธแค้นอยู่มากกว่าสมิธ
ที่หลาย ๆ ครั้งดูจะออกโทนอบอุ่นและเบาความดุดันกว่า
ในส่วนของดาราประกอบที่รายล้อมนั้น
ก็นับว่าเป็นทีมนักแสดงที่ได้รับการแจกจ่ายบทที่โดดเด่นกันได้ทั่วถึงเกือบทุกคน
ทั้งฝั่งชายและหญิง แต่ที่ติดใจผมจริง
ๆ คือ บท โฮเวิร์ด โคเซล โฆษกกีฬาช่วงสัมภาษณ์ของเอบีซี
ที่ถ้าไม่บอกกันก่อนหรือปิดเครดิตบางช่วงทิ้งเสีย
คงจะเดากันออกยากว่าเป็น จอห์น วอยท์
ที่มารับบทนี้ การแสดงของเขาและตัวบทนี้ทำออกมาได้ดี
รับส่งกับตัวอาลีได้กลมกลืนมาก เหมือน
ๆ กับในชีวิตจริงที่อาลีและโคเซลช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ
แต่เมคอัพที่คงจงใจทำให้วอยท์ออกมาดูเหมือนโคเซลที่สุดนั้น
ดูปลอม และกลับทำให้โคเซลออกมาดูน่ากลัวนิด
ๆ จริงอยู่ว่าวิกผมนั้นดูเป็นวิกผมดีอย่างที่ควรจะเป็น
แต่สำหรับใบหน้า หลาย ๆ ครั้งการให้แสงกลับทำให้ดูเหมือน
จอห์น วอยท์ ใส่หน้ากากปลอมตัวหลงมาจากหนัง
Mission Impossible ไปเสียได้
แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังมีจุดเด่นที่สำคัญ
เป็นดั่งลีลามวยที่หวือหวา นั่นคือ งานกำกับภาพโดย
เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้ (Sleepy Hollow,
The Great Expectations, Reality Bites
ฯลฯ) ที่ผสมผสานภาพแบบเกรนหยาบของกล้องแคมคอร์ดเดอร์กับภาพแบบแฮนด์เฮลด์แบบรายงานข่าวสอดแทรกเป็นระยะ
โดยรวม ๆ แล้วภาพที่ออกมาในอาลี มักจะเน้นองค์ประกอบและมุมมองแบบที่ค่อนข้างเจาะเน้น
หลายครั้งที่ภาพดูแน่นด้วยความจงใจ เน้นอารมณ์หนังในช่วงที่อาลีถูกกดดันจากเรื่องราวรอบตัวได้ดี
เราจึงไม่ค่อยได้เห็นภาพมุมกว้าง หรือมุมไกลแบบสบาย
ๆ ตานัก
ในส่วนเรื่องของสีและแสง
ก็ยังคงมีภาพแนวสีโมโนโทนที่เน้นสีใดสีหนึ่งเป็นหลัก
แบบที่มักจะเห็นบ่อย ๆ ในหนังของ ไมเคิล
มานน์ ฉากชกมวยของอาลีก็ใช้เทคนิคทางด้านภาพได้หวือหวาแปลกตาดี
นี่คือจุดเด่นที่ชัดเจนของหนังเรื่องนี้
นอกจากบทและการแบ่งเรื่องราวจากช่วงชีวิตของ
มูฮัมหมัด อาลี ที่จะเล่ามาเรียบเรียงออกมาเป็นบทก็เกือบดีพร้อมแล้ว
หนัง Ali น่าจะน๊อคใจคนดูได้ ถ้าเพียงแต่จะยอมลดทอนเนื้อหาในตอนท้ายลงอย่างที่ผมบอกไป
นี่เลยกลายเป็นมวยสวยชกได้น่าดู แต่ไม่มีหมัดเผด็จศึกปิดบัญชี
ได้แต่เต้นแย๊บตัดลำตัวไปเรื่อยจนเหนื่อย
อาลีไม่ใช่หนังมวยแนว
Rocky แต่เป็นเรื่องราวของความขัดแย้งทางศาสนาและสีผิวในสังคม
ที่ถ่ายทอดมาผ่านชีวิตของคนคนหนึ่ง อาจจะเป็นสิ่งที่ไกลตัวสังคมไทย
ความรู้สึกร่วมจึงอาจจะน้อยกว่า สิ่งที่เรารับรู้ก็คงจะผ่านทางสื่อต่าง
ๆ และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ซึ่งเราได้เห็นการต่อสู้ การปะทะที่เกิดจากความขัดแย้ง
และนำพาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่า
เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ยังกลัวความแตกต่างเสมอ
--------------------------------------------------------------------------------
"Do not listen to a word I say.
Just listen to what I can keep silent."
From The Holy Bible
By Manic Street Preachers