หม่าน เป็นหญิงสาวที่ตาบอดตั้งแต่อายุ
2 ขวบ จนกระทั่งอายุ 18 จึงได้มีโอกาสเปลี่ยนกระจกตา
และเมื่อเธอมองเห็นเป็นครั้งแรก ทำให้เธอต้องเริ่มต้นเรียนรู้เรื่อง
"การมองเห็น" ใหม่ทั้งหมด เพราะแต่เดิม
หม่านมองด้วยการ "สัมผัส" มาตลอดทั้งชีวิต
ที่สำคัญก็คือ เธอต้องเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดวงตาคู่ใหม่ของเธอมองเห็น
กับสิ่งที่คนทั่วไปมองเห็นนั้นแตกต่างกัน
เพราะเมื่อมองเห็น หม่านไม่เพียงได้เห็นคน
เธอมองเห็นวิญญาณด้วย
กระทั่งหม่านเริ่มแยกแยะคนกับวิญญาณออก
เธอจึงเกิดความกลัวขึ้นมา ถึงตอนนี้ หม่านอยากที่จะกลับไปตาบอดอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น
The
Eye เป็นผลงานกำกับร่วมเรื่องที่ 2 ของ
อ็อกไซด์ และ แดนนี่ แปง หลังจาก Bangkok
Dangerous และยังคงใช้ตากล้องคนเดิมคือ
เดชา ศรีมันตะ (ถ่าย คนจรฯลฯ, บางกอกแดนเจอรัส,
พรางชมพู) บทเขียนโดยพี่น้องแปงและ โจโจ้
ฮุย คนเขียนบท Going Home
หลายปีก่อน
อ็อกไซด์ แปง เคยทำหนังสั้นเกี่ยวกับคนตาบอด
โดยให้ชื่อว่า blue is not blue หรือ
ฟ้ายังฟ้าอยู่ ต่อมาเขาได้นำมาดัดแปลงทำเป็นละครทีวีขนาดสองตอนจบ
นำแสดงโดย สุวนันท์ คงยิ่ง อันเป็นเรื่องราวของหญิงสาวตาบอด
ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาจนกระทั่งมองเห็น
แต่ต่อมาเธอกลับฆ่าตัวตาย อ็อกไซด์ แปง
เคยให้สัมภาษณ์ว่าหนังเรื่อง The Eye
ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากข่าวที่หญิงสาวตาบอด
ที่ต่อมาผ่าตัดจนมองเห็น แต่อีก 7 วันถัดมาหลังจากมองเห็น
เธอกลับโดดตึกฆ่าตัวตาย พี่น้องแปงนำไอเดียนี้มาผสมเข้ากับเรื่องผี
จนกลายมาเป็นพล็อตหนังเรื่อง The Eye
หรือที่ใช้ชื่อไทยว่า คนเห็นผี
The
Eye เป็นหนังผีที่ทำได้น่ากลัวชวนขนลุกมากเรื่องหนึ่งทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศในหนัง ซึ่งเรื่องนี้โดดเด่นตรงที่
ผีมาเวลากลางวัน ดังนั้นผีจึงมาได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มืดเสียก่อน
ระดับการปรากฏตัวของผีที่ชวนสยองนั้น
หากวัดเกรดก็อยู่ระดับเอเลยทีเดียว อย่างที่กล่าวแต่แรกว่าหนังเด่นในแง่การสร้างบรรยากาศ
ซึ่งเสียงในหนังเรื่องนี้ก็มีความโดดเด่นมากทีเดียว
โดยเฉพาะเสียงสยองของผีตัวแรกในโรงพยาบาล
หลังจากที่นางเอกมองเห็นใหม่ ๆ และยังไม่รู้จัก
"ผี"
น่าเสียดายที่ช่วงท้ายของหนังพลิกแพลงเป็นหนังชีวิต
เน้นดราม่ามากไปหน่อย ทำให้ดีกรีความสยองช่วงท้ายของหนังลดไปมาก
และที่น่าเบื่อสุดยอดก็คือ วิธีการเปิดปมตัวละครสมัยเด็กในหนังอ็อกไซด์
ซึ่งเหมือนกันไปหมดทุกเรื่อง นับแต่เด็กใบ้อย่าง
ก้อง ใน Bangkok Dangerous, เด็กชายมีปัญหาทางบ้านก่อนหันไปขายยาใน
One Take Only มาจนถึง หลิง วัยเด็กใน
The Eye ไม่เพียงที่หนังจะใช้วิธีการเดียวกันในการย้อนอดีตด้วยการใช้ภาพขาวดำบ้าง
หรือภาพที่ถ่ายจากกล้อง 8 มิล (Bangkok
Dangerous) ตัวละครเหล่านี้ล้วนแต่มีปมจนน่ารำคาญ
และยิ่งรู้สึกซ้ำซากจำเจสำหรับคนที่ดูหนังของ
อ็อกไซด์ แปง มาตลอด
ทำให้รู้สึกว่า
อ็อกไซด์ ไม่ถนัดในทางดราม่า แต่เก่งในแง่ของการเล่าเรื่องที่ฉับไว
และการสร้างบรรยากาศระทึกขวัญ หรืออีกแง่หนึ่งอาจเป็นเพราะวิธีการตัดต่อฉึ่บฉั่บในสไตล์ของพวกเขา
(พี่น้องแปง) ทำให้มันไปละลายความอ่อนไหวทางอารมณ์จนหายไปเสียหมด
(ซึ่งสามารถเห็นได้ในหนังทุกเรื่องของ
อ็อกไซด์)
ความดีอีกอย่างหนึ่งของหนัง
The Eye คือ การแสดงของ หลี่ซินเจี๊ยะ
หรือ แองเจลิกา ลี (นักแสดงชาวมาเลเซียที่ไปโด่งดังในไต้หวัน
และมาเล่นหนังฮ่องกงในที่สุด) ซึ่งสามารถแสดงได้ดีอย่างมาก
ขณะที่ ลอเรนซ์ ชู พระเอกของเรื่อง กลับรับบทจิตแพทย์ได้ไม่เนียน
และดูเด็กเกินไป หนังยังมีนักแสดงดังอีก
2 ท่านคือ หลูเฉียวอิน หรือ แคนดี โล
(Time and Tide) นักร้องสาวชื่อดังรับบทพี่สาวนางเอก
และ ปิแอร์ เพ็ง ดาราหนุ่มชาวสิงคโปร์
(พระเอก Nothing to Lose ที่กำกับโดย
แดนนี่ แปง) รับบทหมอเอก หมอไทยที่พาพระ-นางไปพบกับครอบครัวของหลิงในตอนท้าย
หลังจากที่หนัง
The Eye เขย่าขวัญคนจนขนลุกเกรียวได้ที่
กลับอ่อนลงเพราะฤทธิ์ดราม่าที่โหมเข้ามาในช่วงท้าย
จนทำให้ความเป็นหนังผีหดหาย โชคดีที่ฉากแก๊สระเบิดโผล่มาทันใจ
มิฉะนั้นคงน่าเบื่อกว่านี้แน่
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ฉากแก๊สระเบิดซึ่งเป็นฉากไคลแม็กซ์ของหนัง
แทนที่คนดูจะได้เห็นมหกรรมผีอย่างชนิดดับเบิลขนหัวลุกมากกว่าครั้งไหน
ๆ ในเรื่อง กลับกลายเป็นได้เห็นมหกรรมการเดินเท้าของเหล่ายมฑูตและมหกรรมแก๊สระเบิดเสียแทน
และอีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายก็คือ ฉากที่หม่านได้ค้นพบความลับของตัวเองเป็นครั้งแรกบนรถไฟฟ้า
หรือการปรากฏตัวครั้งแรกของหลิงในหนัง
น่าจะทำได้ช็อคมากกว่านี้ เพราะเป็นไอเดียที่ชวนช็อคทีเดียว
แต่กลับทำได้ "นิ่ง" ไปหน่อย
แม้ว่า
The Eye จะ "ลืม" ความเป็นหนังผีไปบ้างในช่วงท้าย
แต่ระหว่างที่ The Eye "จำได้"
ว่าตัวเองเป็นหนังผี ก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมมากทีเดียว.