พล็อตเรื่องของ
The Trek ก็ไม่มีอะไรมาก คอหนังแนวนี้ที่เคยผ่านตากับหนังอย่าง
Anaconda, King Cobra, Crocodile, Bloodsurf,
Komodo รวมไปถึง Lake Placid คงพอจะเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก
หนังเปิดเรื่องให้คนดูรู้ว่าทำไมงูในหนังเรื่องนี้ถึงขยายขนาดได้
ด้วยเหตุผลที่ไม่น่าเชื่อถือเท่าไร จากการเลือกให้สารพิษขยายขนาดงูคือสารแอมเฟตตามีน
(ยาบ้า) ที่ถูกแพร่กระจายลงน้ำและมีงูมากินสารพิษเข้า
ซึ่งเผอิญเหลือเกินที่เป็นเหตุผลคล้ายกับ
Eight Legged Freaks ที่มีสารพิษกระจายลงในแหล่งน้ำ
และทำให้สัตว์ในแหล่งน้ำนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น
จากนั้นหนังก็ตัดไปเล่าเรื่องราวของกลุ่มสมาชิกอนุรักษ์ช้าง
ที่เห็นข่าวเกี่ยวกับช้างประหลาด ทั้งหมดต้องการเข้าไปในป่าลึกเพื่อพิสูจน์ว่าข่าวที่ลงเป็นจริงหรือไม่
พวกเขาชวนชาวต่างชาติอีก 3 คนเพื่อเข้าไปสำรวจหาช้างประหลาดตัวนั้น
ด้วยหวังว่าถ้าได้พบกับช้างประหลาดจริงตามคำร่ำลือ
ชาวต่างชาติทีมนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ต่อการประกาศความสำเร็จของการค้นพบครั้งนี้ได้
ทีมสำรวจจึงเดินทางไปยังหมู่บ้านเพื่อหานายพรานนำทางเข้าไปในป่า
แต่ไม่มีใครยอมให้ความช่วยเหลือ เพราะที่ผ่านมามีนายพรานหลายคนแล้ว
ที่เข้าไปในป่าแห่งนี้แล้วไม่สามารถกลับมาได้
สุดท้ายคณะสำรวจจึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปสำรวจกันเองตามลำพัง
แต่เมื่อยิ่งเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นเท่าใด
อันตรายที่ทีมสำรวจต้องเจอก็มีมากขึ้นเรื่อย
ๆ ระหว่างการเดินทาง ทีมสำรวจต้องผจญกับเส้นทางที่ยากลำบากและอันตรายจากสัตว์ร้ายต่าง
ๆ ทั้งหมดจะสามารถฝ่าภยันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่
สุดท้ายพวกเขาจะมีสักกี่คนที่รอดออกมาจากป่าลึกนี้ได้
หนังถูกสร้างเพื่อเอาใจคอหนังวงกว้าง
ที่ไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่าฉากสเปเชียลเอฟเฟ็คท์และฉากกระตุกขวัญอยู่แล้ว
ดังนั้นในส่วนของเหตุผลในหนังจึงเป็นส่วนที่ถูกมองข้าม
และดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร
จะว่าไปแล้ว
หนังอาจจะได้แรงบันดาลใจจากบรรดาหนังสารพัดสัตว์ยักษ์ที่กล่าวไปข้างต้นก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหมาพุดเดิ้ลที่ชื่อ เต้าเจี้ยว
ที่จะคอยเอาล่อเอาเถิดกับมุขที่ว่ามันจะโดนเขมือบเมื่อไหร่
เหมือนกับในเรื่อง Crocodile โดยไม่มีเหตุผลว่าทำไมเมื่อรู้อยู่ว่าต้องเข้าไปสำรวจในป่าลึก
สาวแอร์ เจ้าของหมาถึงต้องอุ้มมันเข้าไปด้วย
หรือการที่แอร์ (ศุภักษร ไชยมงคล - แก้วกริยาจากขุนแผน)
ได้รับบาดเจ็บ ก็แทบจะไม่มีความสำคัญกับหนัง
ถ้าเทียบกับบทของ เอริค สตอลทซ์ ใน Anaconda
เพราะบทของแอร์ใน The Trek ไม่ได้มีจุดหักเหที่ทำให้คณะสำรวจได้เปรียบสัตว์ร้ายเหมือนกับที่บทของ
เอริค สตอลทซ์ มีใน Anaconda หรือแม้แต่ฉากที่เอาไก่มาล่อริมน้ำ
และฉากจบ ซึ่งทั้ง 2 ฉากนี้ก็คล้ายกับฉากใน
Lake Placid หนังก็ไม่ได้บอกอีกเหมือนกันว่า
ทำไมทีมสำรวจถึงไปหาไก่บ้านมาเลี้ยงสำหรับเป็นอาหารในป่าลึกได้
แถมยังมีเหลือมากพอที่จะเอามาเป็นเหยื่อล่องูได้อีกต่างหาก
หนังยังขาดเหตุผลในอีกหลาย
ๆ ตอน ไม่ว่าจะเป็นการที่ เติมศักดิ์
หัวหน้าทีมสำรวจทนพิษบาดแผลไม่ไหว และตัดสินใจฆ่าตัวตาย
แต่ก่อนตายยังจะฝากให้ ก้อง (ดนัย สมุทรโคจร)
พยายามสำรวจหาช้างประหลาดต่อไป ทั้ง ๆ
ที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเส้นทางเดินทางต่อไปนั้นอันตรายขนาดไหน
ที่ตลกก็คือ ก้องตั้งใจจะทำตามปณิธานของเติมศักดิ์ต่อไปอีก
โดยที่แรงจูงใจในการไปเสี่ยงตายนั้นยังขาดน้ำหนักอยู่มาก
หรือแม้แต่บทของ พรานธง ที่ตอนแรกปฏิเสธแทบเป็นแทบตายว่าจะไม่ยอมนำทาง
แต่แล้วจู่ ๆ ก็เปลี่ยนใจมาสมทบและให้ความช่วยเหลือ
ซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับเวลาที่เติมศักดิ์ผู้เป็นหัวหน้าทีมเพิ่งตาย
ความไม่สมเหตุสมผลทั้งหลายทั้งปวง คงต้องยกให้เป็นความรับผิดชอบของ
ชาญชัย พานตะสี ซึ่งรับผิดชอบในส่วนของบทภาพยนตร์และงานกำกับ
แต่ถ้ามองข้ามในเรื่องของเหตุผลแล้ว
ดูแค่ฉากเอฟเฟ็คท์อย่างเดียวก็ถือว่าหนังทำออกมาอยู่ในระดับที่ใช้ได้ทีเดียว
ที่ว่าดีนี้ไม่ได้ต้องการให้ผู้อ่านคาดหวังถึงระดับหนังฮอลีวูดนะครับ
แต่ในความหมายของผม หมายถึงระดับที่เปรียบเทียบกับมาตรฐานของหนังไทยทั่ว
ๆ ไป อย่างน้อย ๆ เอฟเฟ็คท์เรื่องนี้ก็ยังดูดีกว่าหนังไทยอย่าง
โรงแรมผี สำหรับความดีความชอบตรงส่วนของเทคนิคภาพพิเศษ
คงต้องยกให้กับทีม Fantasy Digital Film
Company (HK) และ Imagimax Animation
& Design Studio Appreciate Co.,
Ltd. ที่ทำให้ฉากโชว์เอฟเฟ็คท์ของบรรดาสัตว์ประหลาดทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นตะขาบ, แมงป่อง, แมงมุม,
ตัวต่อ และงูยักษ์ ดูดีพอสมควร
ส่วนที่น่าผิดหวังอีกสองส่วนของหนังเรื่องนี้ก็คือส่วนของนักแสดง
ซึ่งดาราที่เลือกมาแต่ละคนดูจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
ปัญหาหลักน่าจะอยู่ที่เรื่องของการพูดไทยไม่ชัด
ซึ่งทำให้การถ่ายทอดอารมณ์ด้วยน้ำเสียงขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย
และตัวหนังเองก็ไม่ได้บอกถึงเหตุผลว่า
ทำไมต้องขนบรรดาลูกครึ่งที่ไม่ได้มีเรตติ้งส่วนตัวกระฉูดมาเข้าป่าครั้งนี้ด้วย
อีกส่วนคือเพลงประกอบของ ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์
และดนตรีประกอบของ อ๊อตโต้ ที่ถูกใส่เข้ามานั้น
ไม่ได้ช่วยสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดู
โดยเฉพาะช่วงที่ใส่เพลงประกอบเข้ามา ฟังดูรก
และเนื้อเพลงก็ไม่ได้เข้ากับเนื้อเรื่องเลย
ในแง่ความเป็นหนัง
คงฟันธงได้ว่าหนังไม่น่าประทับใจสักเท่าไร
โดยเฉพาะกับคอหนังที่ต้องการดูหนังคุณภาพ
แต่ความน่าสนใจข้อเดียวของหนังเรื่องนี้ก็คือ
หนังแนวสัตว์ประหลาดมักจะมี record ดีเสมอสำหรับเมืองไทย
งานนี้คงต้องรอดูว่าคนดูกลุ่มใหญ่ที่เคยให้การสนับสนุนหนังแนวนี้เป็นอย่างดี
จะยอมรับและให้การสนับสนุนหรือไม่ เมื่อหนังแนวโปรดถูกนำมาสร้างเป็นหนังไทย.