พระบิดาแห่งราชนาวีไทย


ประตูโรงเรียนนายเรือเดิม
     ถึงแม้ว่าเสด็จในกรมฯ จะทรงแก้ไข ปรับปรุง ระเบียบการศึกษา ให้มีความก้าวหน้า แต่สถานที่ตั้ง โรงเรียนนายเรือนั้น ไม่มีที่ตั้ง เป็นหลักแหล่งที่มั่นคง ต้องโยกย้าย สถานที่เรียนบ่อยๆ ซึ่งเป็นเหตุผล ประการหนึ่ง ที่ทำให้ผลการเรียน ของนักเรียนนายเรือ ไม่ดีเท่าที่ควร เสด็จในกรมฯ ทรงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะปรับปรุงกิจการด้านนี้ ให้ก้าวหน้า จึงได้นำความขึ้น กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานที่ เพื่อตั้งเป็น โรงเรียนนายเรือ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ที่ดินบริเวณ พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี และได้ดัดแปลงเป็น โรงเรียนนายเรือ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘ จึงนับว่า รากฐานของทหารเรือ ได้หยั่งลงแล้ว ในการนี้ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงกระทำพิธีเปิด โรงเรียนนายเรือ ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๙ ทรงพอพระราชหฤทัย เป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จาก พระราชหัตถเลขา ในสมุดเยี่ยมของ โรงเรียนนายเรือ ความว่า

ลายพระราชหัตถเลขาของ ร.๕
เมื่อทรงเปิดโรงเรียนนายเรือ
     "วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๕ เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจ ซึ่งได้เห็นการทหารเรือ มีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบไป ในภายน่า"
     เสด็จในกรมฯ ได้ทรงวางรากฐาน ในอันที่จะสร้าง นายทหารเรือไทย ขึ้นเป็นครั้งแรก ดังจะเห็นได้จาก บันทึกความประสงค์ การตั้งโรงเรียนนายเรือ ของ นายพลเรือตรี พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) เสนาธิการทหารเรือ ทูลเกล้าฯ ถวายนายพลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้า อัษฎางค์เดชาวุธ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา ผู้สำเร็จราชการ กรมทหารเรือ เมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ว่า

     "... ต่อมาเมื่อปี ๒๔๔๘ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ได้เสด็จดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษา ทหารเรือ อีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อจัดการ โรงเรียน ได้ทรงเพิ่ม วิชาสามัญชั้นสูงขึ้น กับมีวิทยาศาสตร์ เพิ่มเติมบ้าง ส่วนวิชาการเดินเรือนั้น ก็ทรงให้คงอยู่ ตามความประสงค์เดิม แต่ขยายหลักสูตร กว้างขวางออกไป ทั้งทรงตั้ง โรงเรียน นายช่างกล ขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย..."

     ตามบันทึกนี้ จะเห็นได้ว่า เสด็จในกรมฯ ทรงปรับปรุง การศึกษาของ โรงเรียนนายเรือ ให้เจริญและดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสด็จในกรมฯ ได้ทรงตั้ง โรงเรียน นายช่างกลขึ้น เป็นครั้งแรก เพราะทรงเห็นว่า เมื่อมี โรงเรียนนายเรือ ขึ้นมาแล้ว ก็สมควรจะมี โรงเรียนนายช่างกล ซึ่งเป็นของคู่กันอยู่ด้วย เสด็จในกรมฯ ได้รับผู้สมัคร ที่จะเรียนทางช่างกล จากนักเรียนนายเรือนั่น และปรากฏว่า มีนักเรียนมาสมัครเรียน ทางช่างกลกันมาก พอกับความต้องการทีเดียว

     วิชาสำหรับนักเรียนช่างกล ที่ศึกษานี้ บางวิชาก็เรียนรวมกัน กับนักเรียนนายเรือ และบางวิชา ก็แยกไปศึกษาโดยเฉพาะ ส่วนระเบียบการปกครอง ก็เป็นไปแบบเดียวกับ นักเรียนนายเรือ

     เมื่อมีโรงเรียนเพิ่มขึ้น เป็นสองโรงเรียน ทางราชการจึงได้รวมการบังคับบัญชา โรงเรียนทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกองบังคับการขึ้นใหม่ เรียกว่า "กองโรงเรียนนายเรือ" คำว่า "กองโรงเรียนนายเรือ" จึงปรากฏใน ทำเนียบทหารเรือ ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา และเพื่อขยายกิจการ ของโรงเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีก ได้ทรงดำเนินการ จัดซื้อที่ดิน ด้านหลังของโรงเรียนนายเรือ ในขณะนั้น จนจรดคลอง วัดอรุณราชวราราม (เว้นทางหลวง) ทรงสร้างโรงงานช่างกล สำหรับฝึกหัด นักเรียนช่างกล และได้สร้างโรงอาหาร สำหรับนักเรียนนายเรือ ต่อกันไปจากโรงงาน บริเวณนอกจากนั้น ให้ทำเป็นสนาม ซึ่งต่อมาพื้นที่บริเวณ สนามด้านหน้าวัด โมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ก็ได้จัดสร้าง เป็นโรงเรียนจ่าขึ้น จึงทำให้บริเวณกว้างขวางขึ้นอีกมาก

     อนึ่ง เสด็จในกรมฯ ทรงเห็นว่า ควรจะได้ฝึกหัดให้ ทหารเรือไทยเดินเรือทะเล ได้อย่างชาวต่างประเทศ เพราะในสมัยนั้น คนไทยยังต้องจ้าง ชาวต่างประเทศ มาเป็นผู้บังคับการเรือ เป็นส่วนมาก สำหรับคนไทยที่มีความสามารถ เดินเรือทะเลบริเวณ อ่าวไทยได้ ก็มีแต่พวกอาสา จากบางคนที่อาศัยความชำนาญ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวด้วย หลักวิชาเลย ดังนั้นเสด็จในกรมฯ จึงได้ทรงริเริ่มที่จะ ทำการฝึกหัด และสั่งสอนนายทหารเรือ ให้มีความรู้ความชำนาญ ในการเดินเรือทะเล มากยิ่งขึ้น ซึ่งนับได้ว่า เป็นพระดำริที่ดี และสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ในทางการทหารเรือ ของราชนาวีไทย และทางกองเรือ ก็ได้ยึดถือแบบฉบับ อันดีงามนี้ ดำเนินการต่อมา จนตราบเท่าทุกวันนี้

     สำหรับวิธีการขั้นแรก ที่เกี่ยวกับการผลิต นายทหารเรือชุดแรก ออกไปรับราชการนั้น เสด็จในกรมฯ ได้ให้นักเรียนชั้นสูง ซึ่งบางคนมีอายุตั้ง ๓๐ ปี สอบไล่เพื่อออกเป็น นายทหารชุดหนึ่งก่อน ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ ให้ยุบลงไปเรียนชั้นเตรียมหมด และประทานโอกาสไว้ว่า ผู้ที่สอบไล่ได้แล้ว จะออกเป็นนายทหารก็ได้ หรือต้องการจะกลับเข้ามา เป็นนักเรียนใหม่อีกก็ได้ โดยเสด็จในกรมฯ ได้ทรงวางหลักสูตร การเรียนของนักเรียนทุกชั้น ขึ้นใหม่หมด เพราะหลักสูตรเดิมยังอ่อน และยังใช้การทางทะเลไม่ได้ โดยเสด็จในกรมฯ ได้ทรงเพิ่มวิชาต่างๆ เข้าไปไว้ในหลักสูตรอีกมาก เช่นวิชาตรีโกณเมตริ แอลยิบร่า ยีโอเมตรี การเรือ ดาราศาสตร์ แผนที่ ภาษาอังกฤษ ช่างกล และอื่นๆ ที่ทรงเห็นว่า สำคัญ อีกหลายวิชา พระองค์ได้ทรงจัดหลักสูตรใหม่ ดังนี้
          ๑. แบ่งนักเรียนออกเป็น ๔ ชั้น
          ๒. แบ่งภาคเรียนออกเป็น ๔ ภาค ภาคละ ๓ เดือน

     สำหรับวิชาภาคต่างๆ เช่น วิชาดาราศาสตร์ เดินเรือ แผนที่ ตรีโกณโนเมตรีเส้นโค้ง พีชคณิตตอนกลาง และตอนปลาย เสด็จในกรมฯ ก็ทรงสอนเองโดยตลอด ในการจัดหลักสูตรใหม่ครั้งนี้ ปรากฏว่า พลเรือโท พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ซึ่งสอบไล่ได้แล้ว แต่สมัครใจที่จะกลับเข้ามาเรียน หลักสูตรใหม่นี้เพียงคนเดียว จึงได้มีโอกาสเรียน กับพระองค์ตัวต่อตัว โดยใช้เวลาเพียง ๑ ปี จบหลักสูตรใหม่นี้

     ในเรื่องการปกครองนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงใช้ระเบียบวิธีการปกครองตามแบบในเรือรบ โดยแบ่งออกเป็น ๘ ตอน คือ
          ตอน ๑ เรียกว่า หัวเรือขวา
          ตอน ๒ เรียกว่า หัวเรือซ้าย
          ตอน ๓ เรียกว่า เสาหน้าขวา
          ตอน ๔ เรียกว่า เสาหน้าซ้าย
          ตอน ๕ เรียกว่า เสาหลังขวา
          ตอน ๖ เรียกว่า เสาหลังซ้าย
          ตอน ๗ เรียกว่า ท้ายเรือขวา
          ตอน ๘ เรียกว่า ท้ายเรือซ้าย

     และถือเอาเรือใบสามเสา เป็นเกณฑ์ ส่วนช่างกลแบ่งออกเป็น ๒ ตอนนั้น คือ ตอน ๑ ตอน ๒ เรียกว่า ช่างกลกราบขวา และช่างกลกราบซ้าย ส่วนการบังคับบัญชานั้น ให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชานักเรียนชั้นรองๆ ลงมา เพื่อเป็นการฝึกหัดปกครอง ไปในตัวโดยมีหัวหน้ากัปตันตอน ซึ่งได้รับเงินเพิ่มจากปกติเดือนละ ๒๐ บาท และกัปตันตอนได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ ๑๗ บาท นอกจากนี้เสด็จในกรมฯ ได้ให้กรมยุทธโยธาทหารเรือ สร้างเสาธงขึ้นหนึ่งเสาตามแบบ ในเรือทูลกระหม่อมมีพรวน ๗ ชั้น พร้อมด้วย เครื่องประกอบและ เชือก เสา เพลา ใบ แล้วทรงหัดให้นักเรียนขึ้นเสา และประจำพรวน กางใบ ม้วนใบลดพรวนลงดิน เอาพรวนเข้าติดที่ ถอดเสาท่อนบนลง เอาเสาท่อนบนขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และลำบากมากเสด็จในกรมฯ ทรงเอาพระทัยใส่ต่อวิชาเรียนแผนกนี้ อย่างจริงจัง เพราะกว่าจะเลิกฝึก ก็เป็นเวลาราวๆ ๑๙.๐๐ ทุกวันไป และเสด็จในกรมฯ ได้ทรงจัดให้มี เรือกรรเชียงไว้ฝึกหัดตี และแล่นใบด้วย ทั้งทรงให้มีกองแผนที่ทะเล และให้พิมพ์แบบเชือกขึ้นไว้ เพื่อเป็นตัวอย่าง ในการเรียนผูกเชือก แบบต่างๆ อีกด้วย

     ในทางด้านการกีฬา เสด็จในกรมฯ ได้ทรงขอครูมาจาก กระทรวงธรรมการ เพื่อมาสอนบาร์คู่ บาร์เดี่ยวและห่วง เพื่อให้นักเรียนฝึกหัด จนได้ผลเป็นอย่างดียิ่ง เพราะปรากฏว่า นักเรียนมีสุขภาพดี และแข็งแรงขึ้นเป็นอันมาก และทุกวันพฤหัสบดี ตอนบ่ายทุกคนต้องทำความสะอาดเรียบร้อยทุกอย่าง เช่น เตียงนอนเครื่องสนาม หม้อข้าว หีบเสื้อผ้าตลอดจนเล็บ ฟัน เป็นต้น


เรือยงยศอโยชฌิยา
     ใน พ.ศ.๒๔๔๙ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงนำนักเรียนนายเรือทั้งหมด ไปฝึกหัดทางทะเล ด้วยเรือยงยศอโยชฌิยา เรือลำนี้เป็นเรือกลไฟ ขนาดกลาง มีเสาใบพร้อม แต่ทรงให้ติดพรวนชั้นต่ำขึ้นอีกเป็นพิเศษ และได้ให้นักเรียนขึ้นเสา ลงเสา กางใบ ถือท้ายใช้เข็มทิศ ทิ้งดิ่งและการเรือทุกชนิด เวลาใดที่มีคลื่นจัด เรือลำนี้ก็จะโคลง จึงทำให้นักเรียนทั้งหลาย หายเมาคลื่นไปตามๆ กัน แต่ทรงฝึกให้ บรรดานักเรียนทั้งหลาย หายเมาคลื่น โดยให้ขึ้นลงเสาจนชิน เพราะทรงถือว่า "ทหารเรือต้องเมาคลื่นไม่เป็น" การไปฝึกครั้งนี้ ได้ไปทางภาคตะวันออก ของอ่าวไทย จนถึงจังหวัดจันทบุรี ราวหนึ่งเดือนจึงกลับ ภายใต้การบังคับบัญชา ของพระองค์ท่าน และพลเรือโท พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ปรากฎผลว่านักเรียน มีความคล่องแคล่ว และเข้มแข็งในการเดินเรือเป็นอย่างดียิ่ง
     นอกจากทรงใฝ่พระทัย ในด้านการศึกษาของ นักเรียนนายเรือแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงดำริ สำหรับการช่วยเหลือราษฎร ในด้านการดับเพลิงนั้น ควรจะได้ให ้นักเรียนนายเรือ ได้มีการฝึก ทำการช่วยเหลือราษฎร ทำการดับเพลิง เนื่องจากในสมัยนั้น พระนครธนบุรี ไม่มีกองดับเพลิง ที่อื่นเลย นอกจากที่กรมทหารเรือแห่งเดียว เพราะมีเรือสูบน้ำ และเรือกลไฟเล็ก ซึ่งขึ้นอยู่กับกรมเรือกลอยู่แล้ว และมีหน้าที่ดับเพลิง ฉะนั้นเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ใด เรือกลไฟจะทำหน้าที่ ลากจูงเรือสูบน้ำ ไปทำการดับเพลิง เป็นประจำ ทรงตั้งกองดับเพลิงขึ้นโดยมี
     ๑. กองถัง
     ๒. กองขวาน
     ๓. กองผ้าใบกันแสงเพลิง
     ๔. กองรื้อและตัดเชื้อเพลิง
     ๕. กองช่วย
     ๖. กองพยาบาล

     ต่อมา จึงได้เพิ่ม กองสายสูบขึ้น อีกกองหนึ่ง ในกองนี้ ได้ทรงจัดให้ นักเรียนนายช่างกล ทำหน้าที่ร่วมกับ นักเรียนอื่นๆ และเพื่อความชำนาญ ใหัมีการเปลี่ยนกันไปบ้าง ตามความสามารถ ของนักเรียน

     การปฏิบัติงานของ กองดับเพลิงนั้น ได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ ดังเช่น ในวันที่ ๔ และ ๕ เมษายน ๒๔๔๙ ได้เกิดเพลิงไหม้ ขนานใหญ่ที่ ตำบลราชวงศ์ กองดับเพลิง ได้ทำการดับเพลิง อย่างเข้มแข็ง จนได้รับคำชมเชยดังนี้

     "...วันที่ ๖ เมษายน ๒๔๔๙ กรมทหารเรือได้ลงคำสั่งที่ ๘/๑๓๘ ให้ทราบทั่วกันว่า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงสรรเสริญ ความอุตสาหะ ของกรมทหารเรือ ในการดับเพลิง ที่ตำบลถนนราชวงศ์ เมื่อวันที่ ๔ และ ๕ เมษายน ๑๒๕..."  จึงให้กรมกองประกาศให้ นายทหาร พลทหาร และพลนักเรียนทราบทั่วกัน

     เสด็จในกรมฯ ได้ทรงฝึกหัดอบรม สั่งสอนนักเรียนนายเรือแล้ว ยังได้ทรงเห็นความสำคัญ ในการศึกษาของ พลทหารเรือ ซึ่งถูกเกณฑ์ มารับราชการอีกด้วย จึงได้ทรงตั้งโรงเรียนต่างๆ ดังนี้

วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๙ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑ ที่จังหวัดสมุทรสงคราม
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๙ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๒ จังหวัดสมุทรสาคร
วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๙ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ที่ ตำบลบางพระ จังหวัดชลบุรี และตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๖ ณ ตำบลบ้านแพ จังหวัดระยอง และตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๗ ที่ จังหวัดจันทบุรี 
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๑ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๔ จังหวัดสมุทรปราการ 
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๑ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๓ ที่จังหวัดพระประแดง

     ในการตั้งกองโรงเรียนต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนี้ นอกจากจะได้ฝึกหัดอบรม พลทหารเรือ ให้ได้รับการศึกษาแล้ว ยังทรงหวัง ที่จะให้เป็นหน่วยกำลังทหาร สำหรับ รักษาชายฝั่งทะเลอีกด้วย สิ่งก่อสร้างก็ดี กิจการต่างๆ ของแต่ละกองก็ดี ได้จัดทำขึ้นคล้ายคลึงกันและแล้วแต่ความเหมาะสม กับสถานที่ของหน่วยนั้นๆ และพระองค์ได้เสด็จ ไปทรงดูแลสั่งสอนทหาร ตามกองโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิดเสมอ จะเห็นได้จาก กองจดหมายของนาวาตรี หลวงรักษาทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า


เรืออัคเรศรัตนาสน์
     "...เรื่องปลูกสร้าง ตั้งกองทหารที่บางพระ ชลบุรี เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้ว ได้แบ่งเอาทหารที่อยู่ ในกรุงเทพฯ ทั้งฝ่ายบกและฝ่ายเรือ ตลอดจนฝ่ายธุรการ ทุกแผนก แห่งละครึ่งหนึ่ง ให้เตรียมตัวขนของ ลงบรรทุกเรืออยู่ ๓ วัน คือ เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาสิตสวัสดิ์ เรืออัคเรศรัตนาสน์ เรือสุริยะมณฑล เรือนฤเบนทรบุตรี เรือจำเริญ รวม ๖ ลำ บรรทุกของเพียบไปตามๆ กันเสร็จแล้วออกเรือ แต่เจ้าพ่อประทับ ในเรืออัคเรศฯ พร้อมด้วยพวกฝ่ายธุรการ..."
     นอกจากนี้เสด็จในกรมฯ ยังได้ทรงฝึกหัดให้ ทหารเรือได้ซ้อมรบบนบก ในบริเวณจังหวัดชลบุรี เพื่อให้ทหารเรือมีความรู้ ความชำนาญในทางบก อีกด้วย

สารบัญ

อวดธง

     ใน พ.ศ.๒๔๕๐ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงนำ คณะนักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายช่างกล ประมาณ ๑๐๐ คนไป "อวดธง" ที่สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวา และเกาะบิลลิทัน โดย ร.ล.มกุฎราชกุมาร (ลำที่ ๑) ในการเดินทาง ไปต่างประเทศ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้บังคับเรือเอง พร้อมด้วยนักเรียน และทหารประจำเรือ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น เสด็จในกรมฯ ได้ทรงแบ่งเจ้าหน้าที่ประจำเรือดังนี้ 
     ๑. ผู้บังคับการเรือ 
     ๒. ผู้ช่วยผู้บังคับการเรือ (คือตำแหน่งต้นเรือในปัจจุบัน) 
     ๓. ยกกระบัตร (คือฝ่ายพลาธิการ) 
     ๔. แพทย์ 
     ๕. นายทหารประจำเรือ เช่น ต้นหน ต้นปืน เป็นต้น 
     ๖. หัวหน้าช่างกล (คือต้นกล) และตำแหน่งช่างกล มี รองต้นกลและนายช่างกล

ทรงฉายร่วมกับศิษย์ที่สำเร็จ
การศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ
แถวนั่ง
๑. พลเรือโท พระยาราชวังสัน
๒. กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์
๓. พลเรือตรี พระยาหาญกลางสมุทร
แถวยืน
๑.เรือโทตรุส บุนนาค
๒. นายเรือตรี ผู้ช่วย นายแนบ
     ในการออกฝึก และอวดธงยังต่างประเทศ ครั้งแรกนี้ ทรงบัญชาการ ฝึกนักเรียนนายเรือ ด้วยพระองค์เอง ให้นักเรียนทำการ ฝึกหัดปฏิบัติการในเรือ ทุกอย่าง เพื่อให้มีความอดทน ต่อการใช้ชีวิต ด้วยความลำบาก เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเพื่อให้เป็น ผู้เชี่ยวชาญ ในการปฏิบัติหน้าที่ ของตนจริงๆ มีความกล้าหาญรักชาติ ให้รู้จักชีวิต ของการเป็นทหารเรือ โดยแท้จริง ซึ่งจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการปฏิบัติการต่างๆ ในเรือรู้จักหน้าที่ ตั้งแต่พลทหาร จนถึงนายทหาร นักเรียนนายเรือ ได้ฝึกอย่างจริงจัง เผชิญทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งการฝึกของพระองค์ ดังจะกล่าวให้ทราบ เพียงบางส่วน เช่น ในระหว่างที่เรือแล่นจาก สิงคโปร์ เรือได้แล่นลัดช่องทางเดินเรือ ระหว่างเกาะแก่ง มาหลายวัน ขณะที่แล่นอยู่ในระหว่าง เกาะเล็กๆ ๒ ข้าง ปรากฏเป็นคลื่นคะนอง คลื่นลูกใหญ่ซัดเรือ ทำให้เรือเอียงไปมา เสด็จในกรมฯ ซึ่งขณะนั้น ประทับอยู่ท้ายเรือ รีบเสด็จขึ้นไปบน สะพานเดินเรือ ทรงเปลี่ยนเข็ม เบนหัวเรือและลดฝีจักรเรือ รับสั่งให้ทางห้องเครื่องจักร ระวังเครื่องให้พร้อมเพรียงที่สุด ขณะนั้นภายในเรือ เกิดการโกลาหลชั่วขณะหนึ่ง แต่ด้วยพระสติปัญญา อันสุขุมของพระองค์ และทรงพิจารณาสั่งการต่างๆ ตลอดจนอธิบาย ให้นักเรียน และทหารในเรือมิให้ตื่นเต้น หรือหวาดกลัวจนเกินไป จนทำอะไรไม่ถูก จึงทรงหาทางปลอดภัย ให้แก่เรือได้ เรือหลวงมกุฎราชกุมาร จึงได้แล่นไปโดยสวัสดิภาพ จนเข้าช่องลิกา (Linga Strait) เพื่อทอดสมอ และทำพิธีข้ามเส้นอิเควเตอร์
    ขณะที่เรือหลวงมกุฎราชกุมาร ทอดสมอที่สิงคโปร์ นักเรียนนายเรือ ได้รับเชิญให้ไปดู การซ้อมรบของ ทหารอังกฤษ ซึ่งมีทหารประมาณ หนึ่งร้อยคน แต่งกายพรางตา เพื่อให้ข้าศึกเห็นเป็นหญ้าคา โดยเอาหญ้าคาเสียบไว้บนหมวกบ้าง บนบ่าบ้าง ฝ่ายทหารอังกฤษ จะเป็นฝ่ายเข้าตีอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นแขกซิก มีจำนวนประมาณ ๒ กองร้อย นักเรียนนายเรือต่าง ได้รับคำสั่งให้แยกย้ายกันดู ไว้เป็นตัวอย่าง

     เมื่อเรือหลวงมกุฎราชกุมาร ได้กลับมาถึงชุมพร และจอดทอดสมอ ได้มีเจ้าเมืองชุมพร พร้อมด้วยข้าราชการ มาเฝ้าเสด็จในกรมฯ ได้รับสั่งให้ทำการฝึกยกพลขึ้นบก โดยให้แบ่งนักเรียนนายเรือ ออกทำการประลองยุทธ์ ทรงสั่งให้ควบคุมการฝึก อย่างเข้มแข็ง นักเรียนได้ทำการฝึกซ้อม การปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ อย่างว่องไว และเข้มแข็งเป็นที่พอพระทัย ของเสด็จในกรมฯ เป็นอย่างมาก บรรดาข้าราชการ และประชาชนที่ได้เห็น ต่างพากันชื่นชมยินดี และสรรเสริญเสด็จในกรมฯ ว่าทรงพระปรีชาอย่างยิ่ง ในการฝึกฝนอบรมนักเรียนนายเรือ เพื่อให้เป็นนายทหารที่เข้มแข็งในอนาคต

     สำหรับการประลองยุทธ์ทางบกนี้ ยังได้ทรงให้มีการประลองยุทธ์อีกที่บางพระ วิธีการของพระองค์มีพอจะกล่าว เป็นสังเขปดังนี้ คือ ทรงแบ่งทหารออกเป็น ๒ กอง ก่อนออกฝึก ๗ วัน ทรงบัญชาการฝึก ความอดทนของทหาร โดยให้ใส่เครื่องสนามครบ เอาทรายใส่หลังแทนข้าวสาร วันแรกใส่ทราย ๑ ทะนาน วันต่อๆ ไปเพิ่มขึ้นวันละทะนานจนถึง ๗ ทะนาน และให้ฝึกทั้งเช้าและเย็น ทั้งนี้เพื่อให้กำลังทหารอยู่ตัว ในระหว่างการฝึกยังได้ทรงสอน วิธีหุงข้าว และหาอาหารในป่าด้วย กองทหารที่แบ่งออกเป็น ๒ กองนั้น จะแยกกันตั้งค่ายตามจุดของตน โดยจะสร้างเป็นหอคอยมีกำแพงล้อมรอบทำด้วยไม้ไผ่ และมีกองรักษาการณ์ตลอดเวลา เมื่อเริ่มออกทำการประลองยุทธ์ ต่างฝ่ายก็จะเดินทาง ไปยังจุดที่หมายพบกัน ณ ที่ใดก็เริ่มยิงต่อสู้กัน โดยใช้กระสุนซ้อมยิง จนกระทั่งถึงเวลาพักรบ ก็เลิกรากัน ต่างฝ่ายต่างกลับไปยังค่ายของตน เพื่อพักผ่อน เสด็จในกรมฯ รับสั่งให้ทำลายป้อมค่าย แล้วยกไปตั้งที่จุดใหม่ แล้วทำการรบอีกดังนี้ถึง ๓ ครั้ง

     นอกจากการประลองยุทธ์ทางบกแล้ว ยังได้ทรงจัดให้มีการประลองยุทธ์ทางทะเลอีกด้วย ทั้งนี้ ก็เนื่องจากทรงมีพระประสงค์ จะให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้มีการฝึกหัด ให้มีความชำนาญ และมีพระประสงค์จะเห็นความสามารถ ของเจ้าหน้าที่ด้วย ทรงให้ฝึกหัดหลายอย่าง เช่นฝึกหัดเตรียมรบ หัดทิ้งลูกดิ่ง หัดตีกรรเชียง หัดสละเรือใหญ่ เป็นต้น นับว่าได้ทรงฝึกหัดทหารเรือ และนักเรียนนายเรือให้มีความชำนาญในการรบ และปฏิบัติการด้วยความเข้มแข็ง และมีความอดทนอย่างแท้จริง โดยที่พระองค์ ได้ทรงบัญชาการฝึก ด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิดตลอด เป็นต้นว่า ช่วยลากเชือกวิ่งในเวลาชักเรือบต และขนถ่ายของจากเรือใหญ่ แม้แต่วิธีปฏิบัติในเรือ เกี่ยวกับการอาบน้ำ หรืออาหาร ก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกับทหารอื่นๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทหารทั้งหลาย ย่อมเห็นในพระอุตสาหะ และความห่วงใยของพระองค์ ที่มีต่อบรรดาทหารทั้งหลาย ทหารทั้งนั้นจึงได้รัก และเคารพในพระองค์ท่าน อย่างยิ่งประดุจว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งทหารเรือทั้งหลาย

     การออกฝึกครั้งนั้น นอกจากจะทำให้นักเรียนนายเรือ ได้รู้จักปฏิบัติการจริงๆ ทางทะเลแล้ว ยังทรงนำสิ่งใหม่ มาสู่วงการทหารเรืออีก คือ แต่เดิมเรือรบของไทยทาสีขาว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนสี เรือมกุฎราชกุมาร ให้เป็นสีหมอก ตามแบบอย่างเรือรบอังกฤษ และต่อมาเรือรบทุกลำของไทย ก็ทาสีหมอกมาจนทุกวันนี้

     การที่เสด็จในกรมฯ ทรงนำนักเรียนนายเรือ ไปทำการอวดธง ในต่างประเทศครั้งนี้ จึงนับเป็นเกียรติแก่ทหารเรือไทย เพราะย่อมทราบกันทั่วไปว่า ชาติที่เป็นเอกราชเท่านั้น จึงจะมี "ธงราชนาวี" ของตนเองได้ ฉะนั้น เรือหลวงของราชนาวี จึงเป็นเสมือนประเทศไทยเคลื่อนที่ เมื่อไปปรากฎ ในต่างประเทศ ทหารเรือที่อวดธงครั้งนี้ แม้จะลำบากตรากตรำ ต่อหน้าที่การงานเพียงไร ทุกคนก็ภาคภูมิใจ ในเกียรติแห่งความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ประทับใจอยู่มิมีเสื่อมคลาย นับว่าทหารเรือไทย ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสำเร็จ ก็เพราะพระวิริยะอุตสาหะของ เสด็จในกรมฯ

     ครั้นวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๕๑ เสด็จในกรมฯ ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เสด็จออกไปอำนวยการ ทดลองตอร์ปิโดที่สัตหีบ โดย ร.ล.เสือทยานชล และเรือตอร์ปิโดที่มิได้เข้าอู่ซ่อม เรือบุ๊กและเรือกว้าน ออกจากกรุงเทพฯ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์เสด็จในกรมฯ ทรงนำกระบวนเรือพิฆาตฯ และเรือตอร์ปิโด ไปฝึกหัดทางทะเล มีกำหนด ๑ เดือน

     ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเห็นความสำคัญของ กิจการทหารเรือ จึงได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ศกเดียวกันนี้ ก็ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งขณะนั้นกำลังทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง

สารบัญ

งานอดิเรก

     ถ้าจะพูดกันอย่างชาวบ้านสามัญชน ก็กล่าวได้ว่าเสด็จในกรมฯ หรือพระนามที่ชาวจีน นิยมเรียกขานด้วยความรักเทิดทูนบูชา  ในพระองค์ผู้เปรียบเหมือน "พ่อ" จึงออกพระนามว่า "เสด็จเตี่ย" นั้น พระองค์ทรงเป็น "ชายชาติทหาร" อย่างเต็มตัว ฉะนั้นการกีฬาที่ทรงโปรดเป็นงานอดิเรก ก็คือการเล่นกีฬาแล่นเรือใบ ยามใดที่พอจะมีเวลาว่าง จากราชการแล้ว พระองค์ทรงโปรด ที่จะใช้เวลากับการแล่นเรือใบ โดยทรงถือท้ายเรือด้วยพระองค์เอง และยังทรงฝึกหัดให้ชายา และพระโอรสพระธิดา ได้หัดแล่นเรือใบในทะเล เพื่อให้มีความกล้าหาญ นอกจากความเพลิดเพลิน แล้วจะได้คุ้นเคย และถือทะเลเป็นเสมือนบ้าน ได้อีกความรู้สึกหนึ่งด้วย

     นอกจากกีฬาแล่นเรือใบแล้ว กีฬาอีกประเภทที่ทรงโปรดก็คือ "มวย" และ "กระบี่กระบอง" เสด็จเตี่ยทรงฝึกหัดทั้งมวย และกระบี่กระบองอย่างเชี่ยวชาญ จนยากที่จะหาใครเทียบเคียงได้ และพระองค์ยังได้ ทรงสนับสนุนทหารเรือที่ช่ำชอง มีความสามารถในการชกมวยไทยอีกด้วย ทรงส่งนายยัง หาญทะเล เข้าชกชิงถ้วยชนะเลิศ ในการชกมวยไทย ซึ่งสมัยนั้นนักมวยยังใช้เชือกคาดมือชก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงนายทหารเรือ ที่มีความสามารถในการชกมวย และกระบี่กระบอง ไว้มากมายหลายคน เนื่องเพราะทรงเห็นความสำคัญ ของศิลปะการต่อสู้แบบไทยแท ้และเป็นวิชาสำคัญในการป้องกันตัวอีกด้วย

     แต่ก็มิใช่แค่การกีฬาเท่านั้น ที่เป็นงานอดิเรกหรือฮ้อบบี้ที่ทรงโปรดปราน การศิลปะหรือเชิงวิจิตรศิลป์ ก็ยังเป็นอีกงานอดิเรกหนึ่ง ซึ่งเสด็จเตี่ย ทรงมีพระปรีชาสามารถ เป็นพิเศษ พระองค์ทรงเขียนภาพพุทธประวัติ ไว้ที่ผนังโบสถ์วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งก็ยังคง ปรากฏอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ ภาพพุทธประวัตินั้น เป็นตอนพระพุทธเจ้า กับเบญจวัคคีย์ ภาพฝีพระหัตถ์อันงามวิจิตรที่ฝนังโบสถ์นั้น ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ถึงพระปรีชาสามารถ ในเชิงศิลปะของเสด็จเตี่ย และยังแสดงถึงพระทัย ที่ละเอียดอื่นลึกซึ้งอีกด้วย

สารบัญ

เสด็จในกรมกับงานนิพนธ์

     เสด็จในกรมหลวงฯ ทรงมีนิสัยในทางดนตรี โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งเพลง ทรงพระปรีชาสามารถเป็นเยี่ยม ทรงนิพนธ์บทเพลงไว้หลายเพลง บทเพลงเหล่านั้น มีสาระสำคัญ ในการปลุกปลอบใจให้เข้มแข็ง ในยามทุกข์ส่งเสริมกำลังใจให้รักชาติ รักเกียรติ รักวินัยในยามสงบ และให้เกิดมุมานะกล้าตาย ไม่เสียดายชีวิตในยามศึก บทเพลงเหล่านั้น บรรดาทหารเรือทั้งหลาย ได้รับไว้เป็นพระอนุสรณ์ แห่งพระองค์ท่าน เกี่ยวกับบทเพลงพระพิพนธ์ นั้นนาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์  เอกะวิภาค) เขียนจดหมายไว้ดังนี้

"... เรื่องเพลงทหารเรือที่เจ้าพ่อทรงแต่ง เมื่อทหารสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ให้ทหารร้องเพลงเพื่อปลุกใจเวลาที่ผมประจำอยู่กับเจ้าพ่อ เมื่อยกกองทหารไปตั้งที่บางพระ ทหารกรุงเทพฯ กับทหารหัวเมืองร้องเพลงผิด ๆ ถูก ๆ ไม่เป็นระเบียบเจ้าพ่อจึงสั่งให้เรือเอกหลวงอาจณรงค์ เลขานุการของเจ้าพ่อเขียนตามคำบอกเสร็จแล้วใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ แล้วลงพระนาม "อาภากร" ให้เอาไปปิดไว้ที่กองบัญชาการ ให้หัวหน้ากองทหารต่าง ๆ มาคัดเอาไปสอนทหาร ผมได้คัดมา ๑ ฉบับด้วยเหมือนกัน และได้จดลงในสมุดใหญ่เก็บรักษาไว้ที่บ้านมาจนถึงบัดนี้

     เท่าที่ผมได้ยินร้องกันเวลานี้ มีแต่เพลง
๑. ฮะเบสสมอพลัน ออกสันดอนไป ...
๒. เกิดมาทั้งที มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย ...
๓. เกิดมาทั้งที มันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น ... "

สารบัญ

ทรงถูกปลดออกจากราชการ

     ครั้นถึงวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ ออกจากราชการอยู่ ชั่วระยะหนึ่ง รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงรับราชการครั้งแรก ๑๑ ปี

     สาเหตุที่ออก ก็เพราะว่ามีพวกทหารเรือไปเที่ยว พบกับทหารมหาดเล็ก เกิดเรื่องวิวาท กันขึ้น เรื่องทราบไปถึง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เข้า ทรงไม่พอพระทัย รับสั่งให้เจ้าคุณรามราฆพ ไปทูลเสด็จในกรมฯ ให้ส่งทหารเรือที่วิวาทกับ ทหารมหาดเล็กไปให้ ท่านไม่ยอมส่งให้ ได้ให้ทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า เป็นเรื่องของคนวิวาทกัน ซึ่งจะว่าข้างใดเป็นผู้ผิดไม่ได้ และท่านก็รักทหารเรือ ของท่านเหมือนกับลูก ท่านไม่เคยส่งลูกไปให้ใครเขาเฆี่ยนตี ถ้าจะตีก็จะตีเสียเอง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วรับสั่งว่า ถ้าท่านไม่ส่งไปให้ก็ต้องให้ออก เพราะว่าทำงานร่วมกันไม่ได้ เสด็จในกรมฯ จึงต้องออกจากราชการในคราวนั้น

     นอกจากนั้นในตอนฝึกเสือป่า ก็มีเรื่องไม่เป็นที่พอพระทัย คือซ้อมรบมีกันหลายฝ่าย พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงซ้อมรบด้วยหลายครั้ง ปรากฏว่าฝ่ายลูกน้อง เสด็จในกรมฯ ไปจับเอาพระเจ้าอยู่หัว และองครักษ์มาโดยไม่ทราบว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว แล้วมาทูลเสด็จในกรมฯ ว่าตนได้จับฝ่ายตรงข้ามได้สองคนเข้าใจว่าจะเป็นคนสำคัญ เสด็จในกรมฯ ได้แอบดูก็รู้ว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว จึงรับสั่งให้ปล่อยไป โดยให้ลูกน้องของพระองค์ แกล้งลืมกุญแจไว้ เพราะถ้าปล่อยโดยตรง รัชกาลที่ ๖ ก็จะไม่โปรดอีก จะกริ้วเอาเปล่าๆ จะหาว่าเสด็จในกรมฯ ทรงแกล้งแพ้

     ในระยะนั้นมีข่าวลือว่า เสด็จในกรมฯ ทรงคิดจะขบถ หากสำเร็จจะยกให้ กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และเสด็จในกรมฯ จะเป็นวังหน้า เนื่องจากเสด็จในกรมฯ และกรมพระนครสวรรค์ เป็นพี่น้องที่รักกันมาก เพราะถูกอัธยาศัยกัน อีกทั้งฝ่ายมารดาก็ต่างเป็น คนในตระกูลบุนนาคด้วยกัน คนเป็นจำนวนมาก จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง กรมพระนครสวรรค์ฯ เอง ก็ทรงเสียพระทัยมาก คิดจะกราบถวายบังคมลาออกจากราชการอยู่หลายครั้ง แต่มีคนทูลอ้อนวอน ไม่ให้ออกก็เลยอ่อนพระทัยระงับการลาออก

สารบัญ

หมอพรของชาวบ้าน

 


หมอพร


พระคัมภีร์อติสาระวรรค

     "... เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๔ และได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำราสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ ของพระองค์เอง ซึ่งกล่าวกันว่า ปัจจุบันสมุดข่อย ตำรายานี้ได้เคยเก็บรักษาอยู่ ณ ศาลกรมหลวงชุมพร นางเลิ้ง เป็นสมุดข่อยปิดทองที่สวยงามมาก มีภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ เขียนด้วยหมึกสี ด้านซ้าย และด้านขวา เป็นภาพฤาษี ๒ องค์ นั่งพนมมือ ถัดมาเป็นรูป พระอาทิตย์ทรงราชรถ และมีอักษรเขียน เป็นภาษาบาลีว่า "กยิราเจ กยิราเถนํ" ขอบสมุดเขียน เป็นลายไทยสีสวยงาม หน้าต้นของสมุดตำรายานี้มีข้อความว่า

     "พระคัมภีร์อติสาระวรรค โบราณกรรม และปัจจุบันกรรม จบบริบูรณ์ ของกรมหมื่นชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ทรงค้นคว้า ตรวจหาตาม คัมภีร์เก่า เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้ว จนสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๕๘ "..."

     เมื่อทรงลาออกจาก ราชนาวีแล้ว ทรงอยู่ว่างๆ รำคาญพระทัย จึงลงมือศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จนชำนิชำนาญ และรับรักษาโรค ให้ประชาชนพลเมืองทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นที่เลื่องลือว่า มีหมออภินิหารรักษาความป่วยไข้ได้เจ็บ ได้อย่างหายเป็นปลิดทิ้ง

     ทรงเห็นว่าการช่วยชีวิตคน เป็นบุญกุศลแก่พระองค์ จึงทรงตั้งหน้าเล่าเรียน กับพระยาพิษณุฯ หัวหน้าหมอหลวง แห่งพระราชสำนัก ซึ่งหัวหน้าฝ่ายยาไทย ของประเทศไทยผู้นี้ ก็ได้พยายามถ่ายเทความรู้ให้ พระองค์ได้พยายามค้นคว้า และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เช่น เอาสัตว์ปีกจำพวก นก เป็ด ไก่ ที่ตายแล้วใส่ขวดโหลดองไว้ ที่เป็นๆ ก็จับเลี้ยงไว้ในกรงอีกมากมายไว้ที่วัง ทรงหมกมุ่นอยู่กับการแยกธาตุ และทดลองทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะทรงชำนิชำนาญ ในกิจการแพทย์ฝ่ายแผนโบราณ แล้วก็ตาม แต่จะไม่ทรงยินยอมรักษาใคร เป็นอันขาด จนกว่าจะได้รับการทดลองแม่นยำแล้วว่า เป็นยาที่รักษาโรคชนิดพื้นๆ ให้หายขาดได้ อย่างแน่นอน ให้ทรงทดลองให้สัตว์เล็กๆ กินก่อน เมื่อสัตว์เล็กกินหาย ก็ทดลองสัตว์โต เมื่อสัตว์โตหาย จึงทดลองกับคน และประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะทรงสามารถ รักษาโรคนั้นโรคนี้ ให้หายขาดได้

     เมื่อผู้คนพากันรู้ว่า เจ้าพ่อรักษาโรคได้ฉมังนัก จึงทำให้ร่ำลือ และแตกตื่นกันทั้งบ้าน ทั้งเมือง ไม่ทรงให้ใครเรียกพระองค์ว่า เสด็จในกรมฯ หรือยกย่อง เป็นเจ้านาย แต่ทรงเรียกพระองค์เองว่า "หมอพร" เมื่อมีประชาชน มาหาพระองค์ให้รักษา ก็ทรงต้อนรับ ด้วยไมตรีจิต และรักษาให้เป็นการฟรี ไม่คิดค่ารักษา แต่ประการใด นอกจากจะเชิญไปรักษาตามบ้าน ซึ่งเจ้าของไข้จะต้องหารถรา ให้พระองค์เสด็จไป และนำเสด็จกลับ โดยมากเป็นรถม้าเท่านั้น

     เมื่อกิตติศัพท์ร่ำลือกันว่า หมอพรรักษาโรคได้ฉมังนัก และไม่คิดมูลค่าเป็นเงินทองด้วย ประชาชนก็พาเลื่อมใสทั้งกรุงเทพฯ และระบือลือลั่นไปทั้งกรุง เป็นเหตุให้ ความนิยมพระองค์ ได้กว้างขวาง และกิตติศัพท์นี้ ก็ไปถึงพระกรรณ ในหลวง ร.๖ ซึ่งทำให้ทรงพิศวงไม่ใช่น้อย เหมือนกับว่า อนุชาของพระองค์เป็นผู้ที่ แปลกประหลาดอย่างยิ่งทีเดียว ทั้งๆ ที่ยังหนุ่มแน่น ทหารก็รักใคร่และเรียกเป็น "เจ้าพ่อ" เดี๋ยวนี้ประชาชนทั้งเมือง เลื่องลือกันว่าเป็นผู้วิเศษกันอีก ที่สำคัญคือไม่คิดเงินคิดทองผู้ไปรักษา จึงทำให้สภาวะของวังพระองค์ท่าน กลายเป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่ต้อนรับผู้คนอย่างแน่นขนัดขึ้นมา ทุกวันจะมีคนไปที่วังแน่นขนัด และทรงต้อนรับด้วยดีทุกคน เมื่อไปถึงก็พากันกราบกราน ที่พระบาท ขอให้ "หมอพร" ช่วยชุบชีวิต คนเจ็บคนป่วย ก็ทรงเต็มพระทัยรักษาให้ จนหายโดยทั่วกัน

สารบัญ

เจ้ากรมจเรทหารเรือ

     วันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๐ กระทรวงทหารเรือ ได้มีคำสั่งที่ ๑๘๙/๐๔๓๓๘ ให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพร เขตอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการ ในกระทรวงทหารเรือ ในตำแหน่ง เจ้ากรมจเรทหารเรือ เนื่องจาก ประเทศไทย ได้เข้าสงครามโลก และทหารเรือยังขาด ผู้สามารถจริงๆ อยู่ขณะนั้น และต่อมาในวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ เสด็จในกรมฯ ได้รับพระราชทานยศเป็น นายพลเรือโท

     เมื่อทรงเข้ารับราชการ ดำรงตำแหน่งจเรทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๐ แล้ว งานสำคัญที่ทรงทำในโอกาสแรก คือในวันที่ ๓ สิงหาคม เสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ได้ให้เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้ตรวจอาวุธ ของเชลยที่ยึดได้ และให้ทรงออกความเห็น เกี่ยวกับอาวุธเหล่านี้ว่า พวกเยอรมัน จะคิดอ่านก่อการจลาจล ขึ้นในกรุงเทพฯ หรือไม่ เสด็จในกรมฯ ทรงออกความคิดเห็นที่สำคัญไว้ดังนี้

    "...ปืนแบบทหารที่มีดาบปลายปืนพร้อม จำนวน ๓๕ ปืน
    กระสุนสำหรับปืนนั้นชนิดธรรมดา จำนวน ๒,๖๐๙ นัด
    กระสุนชนิดขยายตัวได้ (ดัมดัม) จำนวน ๑๐๐ นัด
    ปืนที่อาจจะใช้ในการรบได้ จำนวน ๓ ปืน
    กระสุนธรรมดา จำนวน ๑๔๒ นัด
    กระสุนชนิดขยายตัวได้ (ดัมดัม) จำนวน ๑๒๐ นัด
    ปืนพก จำนวน ๓๗ ปืน
    กระสุน จำนวน ๒,๙๑๓ นัด

     แค่ปืนแบบทหารที่มีอยู่นั้น เป็นปืนที่ทหารเยอรมัน เลิกใช้มานานแล้ว การที่มีปืนประจำเรือค้าขาย เรือละ ๕ - ๖ ปืนเช่นนี้ มักจะเป็นเรือ ที่จะใช้กะลาสีจีน พวกนายเรือ และต้นกลไม่ไว้ใจ จึงได้มีปืนยาว เช่นปืนทหารที่รุแล้ว เป็นต้น เอาไว้ป้องกันตัว ตามจำนวนนายเรือ แลนายช่างกล คือปากเรือประมาณ ๓ - ๔ คนบ้าง ช่างกล ๒ - ๓ คน คนละปืน ส่วนลูกระเบิด รวมทั้งหมด มีจำนวน ๑๓๖ ลูก เป็นลูกระเบิดชนิด ที่ใช้ระเบิดปลา เรือค้าขายพวกชาวคอนติเนนต์ มักจะใช้กันโดยมาก เป็นเรือค้าขาย ประเทศเดนมาร์ก เป็นต้น เคยมีเสมอ แต่การที่เรือเหล่านี้มีอาวุธติดเรือเข้ามา ในลำน้ำเจ้าพระยา เกือบทั้งหมด ไม่ได้ลงทะเบียน ก็อาจจะทำให้เป็นที่น่าสงสัย ว่า เจ้าหน้าที่ทราบอยู่แล้ว หรือไม่ ถ้าไม่ได้บอกกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ให้ทราบ ก็เป็นอันผิดพระราชกำหนดกฎหมาย ก็คงจำเป็นต้องสงสัยว่า จะคิดอ่านการจลาจลเป็นแน่

     อีกประการหนึ่ง กระสุนปืนบางจำพวก ที่มีอยู่แต่ไม่มีตัวปืนนั้น ทำให้เป็นที่สงสัยว่า เจ้าของอาจจะทิ้งน้ำเสียก่อนการจับกุมเสร็จ ส่วนปืนทหาร และปืนที่อาจจะใช้รบได้ รวมกันมีจำนวน ๓๘ ปืนนั้น ถึงจะเอามาใช้ในการก่อความจลาจล ก็จะไม่เป็นประโยชน์มากนัก เพราะเป็นปืนที่ไม่มีซองกระสุน ซึ่งต้องบรรจุกระสุนทีละนัด (เว้นไว้แต่ ที่มีอยู่ในเรือพิษณุโลกเพียง ๔ ปืนนั้นเท่านั้น) การที่ปืนติดเรือมา ในลำน้ำเจ้าพระยาได้นั้น เจ้าหน้าที่ควรจะรู้จำนวนตัวปืน และกระสุนโดยละเอียดอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ได้ แสดงต่อเจ้าหน้าที่เลย ก็ต้องนับว่าผิด พระราชบัญญัติต้องเป็นที่สงสัย ในความมุ่งหมายที่สุด ถ้าจะคิดส่วนปืนที่ใช้รบได้ อันมีอยู่รวมกัน ๓๘ ปืน กับกระสุน ๒,๙๘๑ นัด นั้นคงคิดถัวกันได้ปืนละ ๗๘ นัด แต่การที่จะทิ้งน้ำเสียก่อน ก็อาจจะเป็นจำนวนมากขึ้น ถ้ามีแต่เพียงเท่านี้จริง ก็ดูไม่น่าจะคิดการจลาจล ได้สะดวก แม้แต่จะป้องกันตนเอง ก็ไม่พอแก่การ..."

สารบัญ

เสนาธิการกระทรวงทหารเรือ

     ครั้นวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ พ้นจากตำแหน่งจเรทหารเรือ เข้าทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือ เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ เนื่องจากผลของการสำรวจ พื้นภูมิประเทศบริเวณสัตหีบ เสด็จในกรมฯ ทรงมีความเห็น ทางด้านยุทธศาสตร์ว่า สมควรใช้พื้นที่บริเวณ ตำบลที่สัตหีบสร้างเป็น ที่มั่นสำหรับ กิจการทหารเรือขึ้น ตามชายฝั่งและเกาะต่างๆ ในอ่าวสัตหีบ เพราะทำเลเหมาะแก่การ สร้างเป็นฐานทัพเรือ ตามพระราชประสงค์ ในด้านการป้องกันฐานทัพ ได้ทรงให้ความเห็นไว้ว่า ควรสร้างป้อมปืนใหญ่ขนาดตั้งแต่ ๑๖ นิ้ว ลงมาจนถึง ๔.๗ นิ้ว และปืนยิงเครื่องบินด้วย โดยพร้อมขึ้นไว้ บนยอดเกาะต่างๆ ในอ่าวสัตหีบ นอกจากนี้ ควรสร้างป้อมวางปืนใหญ่ชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันการส่งทหารยกพลขึ้นบก ของข้าศึกด้วย ส่วนสถานที่ทำการ จะต้องที่สร้างสิ่งต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงทหาร โรงงาน สถานีเรือบินทะเล การประปา การคมนาคม การสุขาภิบาล ฯลฯ ดังนั้นในวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๔ เสด็จในกรมฯ ในฐานะเสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ได้มีลายพระหัตถ์ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดิน ที่สัตหีบ เพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ แก่กองทัพเรือ ดังลายพระหัตถ์ ดังนี้คือ 

สารบัญ