วันที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ตามหลักของยุทธศาสตร์
การทหารเรือ
ซึ่งกล่าวถึงฝึกหัดบำรุงความชำนิชำนาญในทางทะเล
ก็ย่อมยึดถือการอยู่ทะเล เป็นการใหญ่ ตลอดถึง
การรวมทัพ ก็ดี ย่อมจะยึดถือ ไชยภูมิที่เหมาะ
ในเขตร์นั้น ที่จะทำการ เป็นฐานทัพได้
เป็นหลักอีกส่วนหนึ่ง จึงทำให้ นายทหาร
พรรคนาวิน ทั้งสิ้นแม้แต่ เป็นชาวต่างประเทศ
ก็ย่อมเห็นด้วยพร้อมกันว่า สำหรับประเทศสยาม
มีอยู่แห่งเดียวที่ควรเป็นหลัก เช่นนี้ได้ ก็คือ
ที่อ่าวสัตหีบ ซึ่งมีคุณแลโทษดังต่อไปนี้ โทษ นอกจากที่กล่าวไปถึงคุณและโทษ ก็ยังมีแต่ที่เกี่ยวข้องกับการสงคราม โดยอากาศยาน ซึ่งไม่จำเป็นจะกล่าวไปถึง เพราะในที่นี้ จักกราบบังคมทูล พระกรุณาแต่เรื่องกองทัพเรือ เท่านั้น ถึงแม้จะทำเป็นสถานีอากาศยาน ชายฝั่งทะเล ก็คงต้องยึด กองทัพเรือ เป็นหลักสำคัญ คือถ้าไม่มีกองทัพเรือแล้ว กองอากาศยานก็จะตั้งไม่ได้ โดยปราศจากอันตราย เช่นที่กำลังเป็นอยู่ที่อ่าวมะนาว ข้าศึกในชั้นต้น ก็จำเป็นจะต้องใช้ แต่เพียงเรือเร็วขนาดเล็ก เข้าไปเผาผลาญทำลายโรงงานการเก็บ และซ่อมแซมหมดในไม่กี่ชั่วนาฬิกา ฉะนั้นในที่นี้จะขอพระราชทานงดกล่าว ถึงการสงคราม โดยทางอากาศยาน ที่กราบบังคมทูลพระกรุณา มาล้วนเป็นหลักประกอบ กับกองทัพเรือ โดยเฉพาะทั้งสิ้น จำเดินตั้งแต่เสด็จพระราชดำเนินประพาสทะเล โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีลำเก่า เมื่อประมาณ ๑๐ ปี มานี้ พร้อมด้วยกองทัพเรือ ไปประทับในอ่าวสัตหีบ ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมว่า ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีการซ้อมรบทางเข้าตีด้วยเรือตอร์ปิโด ในที่สุดเมื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้กลับเข้ารับราชการครั้งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมต่อไปว่า เมื่อเสด็จพระราชดำเนิน คราวนั้นนอกจากมี พระราชประสงค์จะสร้าง พระราชวัง ที่ตำบลแล้ว ยังมีพระราชประสงค์ ให้เทศาภิบาล เป็นผู้หวงห้ามที่ตำบลนั้นไว้ ตลอดตั้งแต่เกล็ดแก้ว ถึงแสมสาร ซึ่งเป็นที่ดินใหญ่โตมาก หวังพระราชทานที่ดินนี้ให้เป็นสิทธิ์แก่ทหารเรือ ซึ่งเป็นพระราชวินิจฉัยตรง ในทางยุทธศาสตร์การเรือโดยแท้ ผู้ที่เคยเล่าเรียน และมีอาชีพทางทหารเรือแท้ ย่อมสรรเสริญพระราชวินิจฉัยนี้อย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นมาเทศาภิบาลมณฑลปราจีณ ก็ได้หวงห้ามที่ดินรายนี้ต่อๆ กันมาตามพระราชประสงค์จนบัดนี้ แต่มาคิดด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า น่าจะเป็นการกลับกลายเข้าใจผิดไปบางข้อ โดยมีเหตุเกิดขึ้นเมื่อก่อน ๓ ปีคือ ก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบถวายบังคมลาออก ไปประเทศยุโรปคราวนำ ร.ล.พระร่วง เข้ามา ในคราวฝึกซ้อมตอร์ปิโดคราวนั้น ข้าพระพุทธเจ้า ได้เป็นแม่ทัพคุมกระบวนเรือ ออกไปฝึกซ้อม และทดลองสอบกระสุนตอร์ปิโดที่สัตหีบ เห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า การตั้งเครื่องหมาย และทดลองต่างๆ ภายในลูกตอร์ปิโด จะทำในเรือตอร์ปิโดไม่สะดวก เพราะที่คับแคบ ควรขึ้นทดลอง ไกน้ำ ไกบก หางเสือตั้ง หางเสือขวาง และการกระดกลูกตุ้มแผ่นน้ำ ให้ทดลองเสียบนบก ทั้งได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมว่า ที่ตำบลนี้ มีพระราชประสงค์ จะพระราชทาน ให้เป็นสิทธิ์แก่ทหารเรืออยู่แล้ว จึงได้บังอาจขึ้นไปถากถาง ที่จะทำโรง หรือปลูกเต็นชั่วคราว ที่แหลมเทียนตรงที่ กองเรือจอด เมื่อถางเสร็จ ได้มีกำนันมาห้าม ไม่ให้ถางต่อไป และไม่ให้ปลูกในที่นั้น อ้างว่าเป็นที่หวงห้าม เพื่อก่อสร้างพระราชวัง และได้อธิบายถึงเขตเหล่านี้ พร้อมด้วยลายลักษณ์อักษรประกอบด้วย ในเวลานั้น จอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ยังทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวง ทหารเรืออยู่ ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้นำความขัดข้อง ขึ้นกราบทูลตามคำชี้แจงของอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด และมีรับสั่งโดยทรงเห็นว่า เทศาภิบาล คงจะไม่เข้าใจ ในพระราชประสงค์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี จำนวนเงินที่จะก่อสร้างต่อไปนั้น ไม่มีในงบประมาณ และถ้าจะใส่ ในงบประมาณคราวหน้า ก็จะเป็นจำนวนมากมาย เกรงด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม จะเป็นการโต้เถียง กับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไม่สะดวก และยังไม่จำเป็นนัก จึงเป็นอันระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน ครั้นต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา ภาณุพันธุ วงศ์วรเดช ได้ทรงกำกับ ราชการทหารเรือ ข้าพระพุทธเจ้าได้นำถวายเรื่องนี้อีก โปรดเกล้าให้ทำสกีม และในที่สุดได้ดำเนินการ ไปตามความเห็น ดังรายงานการประชุม สภาบัญชาการครั้งที่ ๒ ซึ่งทรงมอบให้ ข้าพระพุทธเจ้าดำริห์ และจัดการสำรวจพื้นที่ เพื่อที่จะได้นำขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย บัดนี้แผนที่นั้นพึ่งได้ทำสำเร็จ ข้าพระพุทธเจ้า มาเห็นว่าที่นั้น ใหญ่โตมาก เหลือที่จะปกปักรักษา ถากถางได้ ถ้าแม้พระราชทาน ให้แก่ทหารเรือตามพระราชประสงค์เดิม ทหารเรือจำเป็นจะต้องแบ่งที่ทั้งหมด ออกเป็นสองตอน คือตอนหนึ่งที่ต้องการแท้ ต้องหวงห้ามกรรมสิทธิ์ กับอีกตอนหนึ่งไม่หวง แต่ไม่อยากให้ต่างประเทศมาจับจอง หรือรับซื้อไปได้ ข้าพระพุทธเจ้า ได้ขีดเส้นลงดังปรากฏ ในแผนที่ ซึ่งได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้ ด้วยแล้ว การทั้งนี้ถึงแม้จะทรงพระราชดำริห์ เห็นชอบด้วยตามนี้ ก็จำต้องค่อยดำเนินการไปทีละเล็กละน้อย เพราะเป็นที่รกร้างมาก และประกอบด้วย ความไข้ชุกชุม ทั้งไม่มีใครจะกล้าถากถางลงไป เพราะไม่มีสิทธิ์ที่จะจองที่เหล่านั้นเป็นของตน ซ้ำยังมีผู้คอยห้าม การฟันไม้ถางป่า โดยเข้าใจผิดอีกชั้นหนึ่ง เช่นทหารเรือเองก็ถูกห้าม ประจวบกับทหารเรือ ยังไม่มีทุนพออยู่ด้วย แต่การประหยัดพระราชทรัพย์ ภายหน้า ทางทหารเรือก็จะได้ดำเนินการ เป็นการเข้มงวดขึ้น การก่อสร้างก็คงจะทำได้ปีละเล็กละน้อย โดยเลิกกองทหารระยอง และบางพระ มารวมเสียที่สัตหีบ บางพระเป็นย่านกลางแท ้กับทั้งบางพระ และบ้านแพ ระยอง ซึ่งเป็นสถานีนายทหารเรือ ก็ไม่ใช่เป็นที่ป้องกัน หรืออาศัยของกองทัพเรือได้ โดยเป็นอ่าวเปิดเผยมีหาดยาวยืด เรือเข้าใกล้ไม่ได้ เช่นสะพานน้ำต้องยาวถึง ๗ เส้น เป็นการเปลืองเปล่าแท้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรือเลย ในการฝากเสบียงอาหาร ถ่านน้ำมัน ข้าพระพุทธเจ้ามองไม่เห็นว่า เหตุใดจึงเลือกที่เหล่านี้เป็นสถานี นอกจาก อากาศดีเท่านั้น ตามที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา มาแล้วนี้ ก็หวังอยู่ในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อพระราชทานสิทธิ์ แก่กระทรวงทหารเรือ ให้มีอำนาจอนุญาต ผู้ที่จะจับจองทำไร่ ทำนาและถากถางตามควร ซึ่งไม่เกินขีดขั้นพระราชบัญญัติ การตัดไม้ ส่วนที่หวงห้ามแท้นั้น ก็จะได้เปิดใช้เช่า ทำโดยคิดราคาย่อมเยา ในปีแรกๆ เห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า คงจะมีผู้เช่าน้อย แต่ต่อไปสัก ๓ ปี เมื่อราษฎร ได้รับความสะดวก และเห็นผลจริงจังขึ้น กับทั้งนี้กองทหาร ไปตั้งก็จะชักชวนกันมาทำทวีมากขึ้น ความไข้ก็จะเสื่อมทราม โดยการถากถางเรียบราบลง เมื่อได้ถึงขั้นนี้แล้ว ทหารเรือคงจะก่อสร้างฐานทัพได้ ทั้งจะเป็นประโยชน์ ในการประหยัด พระราชทรัพย์ด้วย ในระหว่างนี้ คงทำแต่เพียงโรงเรือน พออาศัยชั่วคราวขึ้นก่อน เพื่อตั้งที่ทำการสรรพาวุธ พัสดุ เชื้อเพลิง และหาวิธีขังน้ำรับประทาน และขุดบ่อน้ำใช้การ ที่หลังทุ่งไก่เตี้ยก่อน ดังได้สำรวจแล้ว ในแผนที่ว่าเป็นบึงตื้นๆ การทั้งนี้จะสำเร็จลงได้ ก็ต้องอาศัยการประหยัดทรัพย์สิน ของทหารเรืออย่างอุกฤษฐ์ โดยที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา มาในหนังสือของข้าพระพุทธเจ้า ฉบับก่อนนี้แล้ว ซึ่งแม้จะได้กล่าวถึง โรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ก็ยังหาได้กราบบังคมทูล กำหนดที่จะเลิกกองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๔ และที่ ๖ ไม่ ที่รอไว้ ก็เพื่อจะประสมรอย กับการที่สัตหีบนี้ ถึงแม้ยังไม่เป็นที่แจ่มแจ้งอย่างไร โดยความเขลา ของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทาน บรมราชวโรกาศ อธิบายด้วยปาก พร้อมกับแผนที่ อีกชั้นหนึ่ง พระอาญาไม่พ้นเกล้าพ้นกระหม่อม การจะควรประการใดสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดกระหม่อม
|
| ต่อมาในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๕ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานที่ดิน ที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือ เพื่อจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ ต่อไปดังพระราชกระแส ดังนี้ |
พระราชกระแสตอบเสนาธิการทหารเรือ
วันที่ ๑๖ กันยายน พทุธศักราช ๒๔๖๕ ทูล กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ลายพระหัตถ์ที่ ราม ร. |
| ในวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้ทรงกระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ อีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นครั้งที่สอง ที่พระองค์กลับมาดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ |
![]()
![]() เรือหลวงพระร่วง |
ในปี พ.ศ.๒๔๕๗ ข้าราชการทั้งหลาย พากันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และได้ปรึกษากันในอันที่จะ แสดงความจงรักภักดี กตัญญูกตเวที บรรดาข้าราชการมีความเห็นว่า เป็นการจำเป็นที่ จะต้องมีการป้องกัน ราชอาณาจักร ทางทะเล จึงเห็นพ้องกันว่า ควรจะได้มีการช่วยกัน ออกทุนทรัพย์ คนละเล็กละน้อย เพื่อรวบรวม ซื้อหรือสร้างเรือรบ ถวายพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวสักลำหนึ่ง ในการดำเนินการจัดหาเงินทุนนี้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสะดวก จำเป็นต้องตั้ง เป็นสมาคมขึ้น พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบ และได้พระราชทาน ชื่อสมาคมที่จัดตั้งนี้ว่า "ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม" และทรงรับเป็น องค์อุปถัมภ์สมาคม พร้อมทั้งพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สมทบด้วย สำหรับเรือ ที่จะจัดซื้อนี้ได้รับพระราชทาน นามว่า "เรือหลวงพระร่วง" |
![]() เรือตอร์ปิโด ท.๓ |
เสด็จในกรมฯ ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงพิเศษออกไป จัดสรรหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป พระองค์ได้เสด็จ เสาะแสวงหาอยู่หลายประเทศ จึงได้ทรงพบเรือพิฆาตตอร์ปิโด ของบริษัททอร์นิครอฟท์ แห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า "เรเดียนท์" ทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นที่เหมาะสม แก่ความต้องการของ กองทัพเรือ และเป็นเรือที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่ จึงได้ทรงชี้แจง มายังกรรมการ ราชนาวีสมาคม ซึ่งคณะกรรมการ ของสมาคม ก็มีความเห็นชอบด้วย |
| เสด็จในกรมฯ
ทรงเป็นผู้บังคับการเรือพระร่วง
เองพร้อมด้วยนายทหารเรือไทย
และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ซึ่งเป็นทหารเรืออังกฤษ
นำเรือจากประเทศอังกฤษ เข้ามาถึง กรุงเทพมหานคร
ปรากฏพระเกียรติยศ
เป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย
สามารถเดินเรือทะเลได้ไกลถึงเพียงนี้
จึงถือเป็นเกียรติประวัติของราชนาวีไทย
และเป็นการปรากฏ พระเกียรติคุณแห่งเสด็จในกรมฯ
เรือหลวงพระร่วงได้เดินทาง
เข้ามาถึงประเทศเมื่อ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
การต้อนรับ และการสมโภชเรือหลวงพระร่วง
ได้เป็นไปอย่างมโหฬาร และเอิกเกริกอย่างยิ่ง
ในพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชทานเลี้ยง
เนื่องในการฉลอง เรือหลวงพระร่วง ณ
สมาคมสหทัยสมาคม เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๔๖๓
ได้ทรงกล่าวถึงพระเกียรติคุณ ของเสด็จในกรมฯ
ในการนำเรือพระร่วงมาสู่ประเทศไทยว่า "...ส่วนกรมหลวงชุมพร ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่า เป็นนายทหารเรือไทยคนแรก ที่นำเรือรบไทยมาจากต่างประเทศได้ และที่ยากมากปานใด ในการนำมานั้น ท่านทั้งหลาย คงพอจะเดาเอาได้ เมื่อทราบว่าบรรดาลูกเรือนั้น เป็นชาวต่างประเทศทั้งนั้น และที่นำมาได้ โดยสวัสดิภาพ ก็แสดงให้เห็นได้ว่า เป็นผู้ชำนาญทะเลจริง นับว่าสมควร ที่จะได้รับความขอบใจ ของข้าพเจ้าและท่านทั้งหลาย..." |
![]() พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ |
เสด็จในกรมฯ ได้ทรงปฏิบัติราชการสืบมา จนได้รับพระราชทานเลื่อนยศจาก พลเรือโท ขึ้นเป็น พลเรือเอก เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๓ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระอิสริยศักดิ์ เลื่อนจาก "กรมหมื่น" ขึ้นเป็น "กรมหลวง" เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๓ ดังประกาศ ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๓ เล่ม ๓๗ และ ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ทรงบัญชาการทหารเรือเต็ม ตามตำแหน่งดัง ประกาศตั้ง เสนาบดีในหนังสือราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เล่มที่ ๔๐ |
![]()
![]() ร.ล.เจนทะเล |
เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็ได้กราบบังคม ลาออกจากราชการ ไปตากอากาศ เพื่อพักผ่อน รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ทั้งนี้ก็เพราะ เสด็จในกรมฯ ทรงมีสุขภาพ ไม่สมบูรณ์ และประชวร พระโรค ภายใน อยู่ด้วย ทางกระทรวง ทหารเรือ ได้สั่งให้กระบวนเรือที่ ๒ จัด ร.ล.เจนทะเล ถวายเป็นพาหนะ และกรมแพทย์ทหารเรือ ได้จัดนายแพทย์ประจำพระองค์ ๑ นาย พร้อมด้วยพยาบาลตามเสด็จไปด้วย เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จไปประทับ อยู่ที่ด้านใต้ปากน้ำ เมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่เสด็จในกรมฯ ทรงจองไว้จะทำสวน ขณะที่เสด็จในกรมฯ ประทับอยู่ที่จังหวัดชุมพรนี้ ก็เกิดเป็นพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง ๓ วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ ตำบลทรายรี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริพระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา |
พระโกษฐ์กุดั่นน้อย ที่วังนางเลิ้ง |
พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุสนามหลวง ๒๔ ธ.ค.๒๔๖๖ |
พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุสนามหลวง ๒๔ ธ.ค.๒๔๖๖ |
| ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ร.ล.เจนทะเล ได้เชิญพระศพ จากจังหวัดชุมพรมายังกรุงเทพฯ และมาพักถ่ายพระศพสู่ ร.ล. พระร่วง ที่บางนา ต่อจากนั้น ร.ล.พระร่วงได้นำพระศพ เข้ามายังกรุงเทพฯ นำพระศพประดิษฐาน ไว้ที่วังของพระองค์ท่าน พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระราชทาน จนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพ ไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง |
![]()
| ๒๓ มิถุนายน ๒๔๓๓ | นายเรือโท เทียบเท่ายศ นาวาตรี ในปัจจุบัน |
| ๓ พฤษภาคม ๒๔๔๔ | นายเรือเอก เทียบเท่ายศ นาวาเอก ในปัจจุบัน |
| ๕ พฤษภาคม ๒๔๔๗ | พลเรือตรี |
| ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๗ | กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ |
| ๓๐ ธันวาคม ๒๔๖๐ | พลเรือโท |
| ๒๓ เมษายน ๒๔๖๓ | พลเรือเอก |
| ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๓ | กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ |
![]()
ทรงรับราชการในตำแหน่งต่างๆ ของกองเรือ ตามหลักฐานที่ปรากฏ
| ผู้บังคับการเรือ ร.ล. มูรธาวสิตสวัสดิ์ | ๒๔๔๓ |
| รองผู้บัญชาการกรมทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง | ๑๖ กันยายน ๒๔๔๔ |
| รองผู้บัญชาการกรมทหาร | ๒๕ ตุลาคม ๒๔๔๗ |
| เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ | ๑ มีนาคม ๒๔๔๘ |
| ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ (ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ) |
๒๓ ธันวาคม ๒๔๕๓ |
| เสด็จอออกประจำการชั่วระยะหนึ่ง | ๑๔ เมษายน ๒๔๕๔ |
| จเรทหารเรือ | ๑๕ มกราคม ๒๔๖๐ |
| เสนาธิการทหารเรือ | ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐ |
| เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ | ๒๗ กันยายน ๒๔๖๑ |
| รักษาการณ์ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ | ๑๓ ตุลาคม ๒๔๖๕ |
| เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ | ๑ เมษายน ๒๔๖๖ |
![]()
ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นบำเหน็จความชอบ ดังต่อไปนี้
| ประถมจุลจอมเกล้าวิเศษ | ๒๑ กันยายน ร.ศ. ๑๑๙ (๒๔๔๐) |
| มงกุฎสยามชั้น ๑ มหาสุราภรณ์ | ๑๗ มกราคม ๒๔๔๗ |
| เข็มเงิน เสด็จประพาสยุโรป | ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๐ |
| เข็มพระชนมายุสมมงคลชั้น ๑ ทองคำลงยา | ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒ |
| เหรียญบุษปมาลากาไหล่ทอง | ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒ |
| เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๕ ชั้นที่ ๒ | ๓๐ มกราคม ๒๔๕๓ |
| เข็มข้าหลวงเดิม | ๑๔ สิงหาคม ๒๔๕๔ |
| มหาโยธินรามาธิบดี | ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๖๑ |
| ประถมาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่ ๑ | ๓๐ ธันวาคม ๒๔๖๑ |
| เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๖ ชั้นที่ ๑ | ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๖๔ |
| ตรารัตนาวราภรณ์ | ๓๐ ธันวาคม ๒๔๖๔ |
| เหรียญจักรมาลา | ๑๓ มีนาคม ๒๔๖๕ |
| เหรียญราชินี นพรัตน์ราชวราภรณ์ มหาจักรีบรมราชวงศ์ |
![]()
| ตราเซนต์มอรีสและเซนต์ลาซาร์ ชั้นที่ ๑ | ๑๗ มิถุนายน ๒๔๕๐ |
![]()
แม้ว่าดวงพระวิญญาณ ของพระองค์จะทรงสถิตย์อยู่ ณ แดนสุขาวดี บนสรวงสวรรค์แล้ว พระบารมีของพระองค์ ยังคงแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ คอยปกป้องคุ้มครอง พสกนิกร ผู้จงรักภักดี ที่เคารพเทิดทูนพระองค์ โดยเฉพาะทหารเรือทุกคน ซึ่งเปรียบประดุจ ลูกหลานของพระองค์ และดลบันดาล ให้ประสบความสำเร็จ ในสิ่งอันพึงปรารถนาอยู่เป็นนิจ อนุสรณ์ที่ปรากฏอยู่อย่างมากมาย ทั่วประเทศ มีทั้งพระอนุสาวรีย์ พระรูป ศาลกรมหลวงชุมพร พระฉายาลักษณ์ พระสาทิศลักษณ์ เหรียญที่ระลึก ตลอดจนพระนามที่ปรากฏ เป็นชื่อของสถานที่ต่างๆ เป็นประจักษ์พยานได้ เป็นอย่างดี พระองค์ทรงเป็น ปูชนียบุคคลของทหารเรือ ชั่วนิรันดร ดั่งเพลงปลุกใจอันไพเราะ และมีความหมายลึกซึ้ง ที่ทรงนิพนธ์ ให้ทหารเรือทุกคน ได้ขับร้องสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ |
"...ส่วนตัวเราตายไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อ ให้โลกทั้งหลายเขาลือ ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย..."