[ กำเนิด พ.พ. ] [ โรงเรียนพณิชยการแห่งแรก ][ ได้รับความนิยมท่วมท้น ]
[ โรงเรียนพณิชยการหญิงแห่งแรก ] [ เร่ร่อนไร้หลักแหล่ง ] [ สู่วังสน ] [ เริ่มขยับขยายวัง ]
[ ยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัย ]

กำเนิด พ.พ.

วิทยาเขตพณิชยการพระนคร   ถือกำเนิดมาจาก  "โรงเรียนประถมศึกษาพิเศษภาษาอังกฤษ วัดสัมพันธวงศ์" ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2443เป็นไปตามแผนการศึกษาฉบับแรก  ซึ่งแผนการศึกษาฉบับนี้ได้กล่าวถึงการอาชีวศึกษา  แต่ในสมัยนั้นเรียกว่า "การเรียน วิชาเฉพาะ" ให้มีความชำนาญ สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ เช่น วิชาครู วิชาแพทย์ วิชารังวัด วิชาช่าง วิชาเพาะปลูก  วิชาหัตถกรรม  และ "วิชาการค้า" เป็นต้น

อนึ่ง โรงเรียนอาชีพที่เปิดสอนอยู่บ้านแล้วในปี  พ.ศ. 2441  นั้นคือ    "โรงเรียนฝึกหัดครู" ที่โรงเลี้ยงเด็ก  เชิงสะพานยศเส  ภายหลังเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนเบญจมราชูทิศ"  "โรงเรียนแพทย์" สังกัดอยู่ในกรมพยาบาล,   "โรงเรียนกฎหมาย"    ขึ้นอยู่ในกระทรวง ยุติธรรม  และ "โรงเรียนรังวัดทำแผนที่" ปัจจุบันคือ  กรมแผนที่กระทรวงกลาโหม นั่นเอง

ส่วนโรงเรียนประถมศึกษาพิเศษภาษาอังกฤษ วัดสัมพันธวงศ์ นั้น  จัดหลักสูตรการสอน เน้นหนักไปในทาง "ภาษาอังกฤษ"  เท่านั้น  ต่อมาได้รับการขยายปรับปรุงหลักสูตรเสียใหม่  ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  โดยเพิ่ม "วิชาเสมียนพนักงาน, วิชาค้าขาย และการบัญชี" เข้าไปไว้ในหลักสูตรเพื่อจูงใจกุลบุตรกุลธิดาให้หันไปนิยมศึกษาวิชาชีพ   เป็นทางดำเนินอาชีพในอนาคตสืบไปตามแผนการศึกษาใหม่ พ.ศ. 2452 ของกระทรวงธรรมการ  ซึ่งได้แบ่งการศึกษาออกเป็น   2   ประเภทคือ"โรงเรียนสามัญศึกษา" และ "โรงเรียนวิสามัญศึกษา"  โดยแบ่งชั้นการศึกษาเป็นชั้นต้น และชั้นปลาย ต่อมาในปี  พ.ศ. 2485 ได้แก้ไขเป็น ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นปลายเทียบเท่ากับสายสามัญศึกษาตอนต้นตอนกลาง และตอนปลาย

โรงเรียนพณิชยการที่แท้จริงแห่งแรก

กระทรวงธรรมการได้ตั้งให้พระโอวาทวรจิต เป็นผู้อำนวยการหัตถกรรมและพณิชยกรรมเพื่อดำเนินการสอนการศึกษาพิเศษภาษาอังกฤษ วัดสัมพันธวงศ์จึงแปรเปลี่ยนสภาพเป็น "โรงเรียนพณิชยการที่แท้จริงแห่งแรก" ขึ้นที่วัดตะเคียน เมื่อพ.ศ. 2445 มีชื่อเรียกว่า "โรงเรียนพณิชยการวัดมหาพฤฒาราม" นับว่าในบรรดาโรงเรียนอาชีวศึกษาทั้งหลาย ในปัจจุบันนี้ โรงเรียนพณิชยการได้กำเนิดขึ้นก่อนโรงเรียนอื่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2453 ก็ได้เปิดโรงเรียนพณิชยการขึ้นอีกแห่งหนึ่ง คือ "โรงเรียนพณิชยการวัดราชบูรณะ" แต่โรงเรียนนี้ไม่ทราบเหตุผลกลใด เมื่อ พ.ศ. 2457 ได้ย้ายโรงเรียนไปอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนเพาะช่าง ซึ่งกระทรวงธรรมการได้ตั้งขึ้นในลำดับต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2456 และอาศัยอยู่เพียง 2 ปี โรงเรียนพณิชยการวัดราชบูรณะก็ยุบไปรวมกับ โรงเรียน พณิชยการวัดมหาพฤฒาราม เมื่อ พ.ศ. 2459 และในปีเดียวกันนี้ ท่านผู้หญิง แพ พิทโยทิศ ได้สร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่ วัดแก้วฟ้าล่างถนนสี่พระยา และอุทิศให้เป็นสถานศึกษา แต่กระทรวงธรรมการ ดังนั้น โรงเรียนพณิชยการวัดมหาพฤฒาราม จึงได้ย้ายมาอยู่ วัดแก้วฟ้าล่าง เมื่อ พ.ศ. 2459 และเปลี่ยนชื่อให้คล้องกับสถานที่ เป็น "โรงเรียนพณิชยการวัดแก้วฟ้าล่าง"

ได้รับคะแนนนิยมท่วมท้นจากประชาชน

กิจการโรงเรียนพณิชยการวัดแก้วฟ้าล่างได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับจนถึงพ.ศ. 2472 ตึกแพพิทโยทิศคับแคบ ไม่พอเพียงกับจำนวนนักเรียนที่จะรับใหม่ได้ ทางโรงเรียนจึง ได้ขยายสถานที่เพิ่มขึ้น คือให้นักเรียนที่เข้าใหม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนวัดมหาพฤฒาราม อีกแต่ในปีต่อมา เกิดขัดข้องบางประการกับเจ้าของสถานที่จึงย้ายนักเรียนมาเรียนที่ "โรงเรียนวัดหัวลำโพง"ส่วนการเรียนชั้นสูงยังคงเรียนอยู่ที่โรงเรียนพณิชยการวัดแก้วฟ้าล่างตามเคย

และในปีเดียวกันนี้ได้เปิด "โรงเรียนพณิชยการวัดสามพระยา" ที่บางลำพูขึ้นอีกแห่ง เนื่องจากมีผู้สนใจในวิชาพณิชยการกันมากขึ้น แม้จะคัดเลือกนักเรียนที่สมัครใจไปเรียนทางโรงเรียนพณิชยการวัดสามพระยาเพื่อแบ่งเบาจำนวนนักเรียนแออัด ทางโรงเรียนพณิชยการวัดแก้วฟ้าล่างลงไปบ้างก็ตาม แต่จำนวนนักเรียนก็หาลดลงไม่ การเรียนการสอนของโรงเรียนพณิชยการวัดแก้วฟ้าล่าง กับโรงเรียนวัดหัวลำโพง ยังคงแตกกันเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2478 จึงได้รวมกันตามเดิมที่โรงเรียนพณิชยการ วัดแก้วฟ้าล่าง

โรงเรียนพณิชยการ "หญิง" แห่งแรก

เมื่อปี พ.ศ. 2475 กระทรวงธรรมการได้ประกาศแผนการศึกษาชาติใหม่ เพื่อจัดการศึกษาวิชาชีพให้เหมาะสมกับภูมิประเทศตามท้องถิ่น ในปี พ.ศ. 2476ได้จัดตั้ง "โรงเรียนพณิชยการแผนกหญิงแห่งแรก" ขึ้นในกรุงเทพมหานครที่ "โรงเรียน พณิชยการเสาวภา" ส่วนภูมิภาพนั้นกระทรวงธรรมการเปิดสอนแผนกวิสามัญพณิชยการขึ้นในโรงเรียนมัธยมสามัญบางจังหวัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 จึงได้ตั้ง "โรงเรียนประถมพณิชยการ" ขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต ปัตตานี ตรัง ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี นครราชสีมา และเชียงใหม่ โดยอาศัยสถานที่เรียนของโรงเรียนประจำจังหวัดที่ตั้งอยู่เดิม เป็นที่เรียนและในปี พ.ศ. 2478 ได้เปิดเพิ่มขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงราย และน่าน เนื่องจากขาดอุปกรณ์การเรียนการสอนและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายครูอาจารย์ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะวิชา และไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากครูใหญ่ของโรงเรียนประจำจังหวัดเหล่านั้น ประกอบกับประชาชนในจังหวัดดังกล่าวยังไม่นิยมเลื่อมใสนัก จึงไม่ยอมให้บุตรหลานของตนเข้าเรียนในโรงเรียนประถมพณิชยการ ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 เป็นต้นมา โรงเรียนประถมพณิชยการที่เปิดสอนตามจังหวัดต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาคจึงค่อย ๆ เลิกล้มกิจการไปทีละแห่งสองแห่งจนหมด แม้แต่โรงเรียนพณิชยการเสาวภาก็ถูกยุบกิจการด้วย

เร่รอนไร้หลักแหล่งแน่นอน

เนื่องจากโรงเรียนพณิชยการวัดสามพระยามีสถานที่คับแคบ     และอาจารย์ใหญ่สมัยนั้น ไม่ค่อยจะลงรอยกับเจ้าอาวาสวัดสามพระยา  จึงได้ย้ายไปอยู่ที่วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแคลง) เมื่อปี  พ.ศ. 2481 และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "โรงเรียน พณิชยการ วัดเทวราชกุญชร"  ต่อมาอีก 3  ปี  โรงเรียนนี้ ได้ย้ายไปรวมกับ โรงเรียนพณิชยการ วัดแก้วฟ้าล่างเมื่อปี  พ.ศ. 2483 เป็นอันว่า ยังคงเหลือโรงเรียนพณิชยการอยู่เพียงแห่งเดียว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โรงเรียน พณิชยการพระนคร" แล้วได้ย้ายจากวัดแก้วฟ้าล่างไปอยู่ที่ "โรงเรียนภาษาต่างประเทศ วัดบพิตรพิมุข" เพราะมีนักเรียนน้อยมาก แต่เปิดสอนอยู่ไม่นาน  จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น อีกจนสถานที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศวัดบพิตรพิมุขคับแคบลง ในปี  พ.ศ. 2487 จึงได้ย้ายโรงเรียนพณิชยการพระนครไปเปิดสอนที่ "วังบูรพาภิรมย์" (ปัจจุบันคือ บริเวณโรงภาพยนตร์ควีนส์และเกรนต์) และจัดเป็น "โรงเรียนสหศึกษา" คือได้เปิดรับนักเรียนหญิงใหม่อีก หลังจากที่ยุบโรงเรียนพณิชยการเสาวภาไปแล้ว  และจากนั้นมา โรงเรียนพณิชยการพระนคร ก็รับนักเรียนหญิงและชาย เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้

ในปีที่ย้ายมาอยู่ที่วังบูรพาภิรมย์แล้ว   ก็ต้องอพยพไปเปิดสอนที่  "วังจันทร์เกษม  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา"  อีกเพราะเนื่องจากภัยทางอากาศในสมัยสงครามโลกครั้งที่  2  เมื่อสงครามสงบลงแล้ว  ในปีพ.ศ.  2488   จึงได้อพยพกลับมาสอนตามเดิมที่  "วังบูรพาภิรมย์"เนื่องด้วยจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นมาก ทางโรงเรียนจึงได้เปิดสอนรอบบ่ายขึ้นอีกรอบหนึ่งในปี   พ.ศ.2489   นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกในประเทศไทย ที่เปิดสอนรอบบ่าย" ขึ้น เปิดสอนอยู่ที่วังบูรพาภิรมย์ ได้ไม่นาน ก็ต้องย้ายต่อไปอีก เพราะเจ้าของต้องการสถานที่คืน  ระหว่างที่ทางโรงเรียนกำลังเสาะหาสถานที่อันเหมาะสม เพื่อก่อสร้างเป็นอาคารเรียนถาวรนั้น   โรงเรียนพณิชยการพระนครก็ได้ย้ายไปอาศัยเรียนอยู่ที่ "โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย"  ถนนพญาไท  เมื่อปีพ.ศ.2490 และยุบรอบบ่ายเสียคงสอนรอบเดียวตามเดิม

สู่วังสน

ต่อมา กรมอาชีวศึกษาเจ้าสังกัดได้ซื้อที่ดินบริเวณ  "วังของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์" ถนนพิษณุโลก จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในราคา 7 แสนบาท  เป็นเนื้อที่ 6 ไร่ 3  งาน 34  ตาราวา  เพื่อสร้าง"โรงเรียนพณิชยการพระนคร"  และได้วางศิลาฤกษ์โดย ฯพณฯจอมพล  ป. พิบูลสงครามในวันที่ 1 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2491 เมื่องานก่อสร้าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ย้ายจากโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย  มาทำการสอน ในสถานที่แห่งใหม่นี้  เมื่อวันที่  20  ธันวาคมพ.ศ. 2492 และดำเนินการสอนเป็น 2 รอบขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2494แล้วยุบเหลือ รอบเดียวตามเดิมในปี   พ.ศ.  2504  จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2508 จึงได้จัดให้มีการสอน รอบบ่ายขึ้นอีก

เริ่มขยับขยายวัง

อนึ่ง ในปี  พ.ศ.2497 และ  พ.ศ. 2498 ทางโรงเรียนได้ซื้อที่ดินบริเวณข้างเคียงเพิ่มเติมอีก 6 ไร่ 2 งาน 12  ตารางวา  และได้ก่อสร้างอาคารเรียนเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2499 ทางโรงเรียน ก็ได้ซื้อที่ดินอีก 2 ไร่ 72 ตารางวา  ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่ของแปลงนี้ ได้มอบให้แก่"โรงเรียนช่างตัดเสื้อ พระนคร" (ปัจจุบันคือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล  วิทยาเขต ชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์) และ ต่อมาในปี  พ.ศ. 2510 โรงเรียนพณิชยการพระนคร ได้รับมอบที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างมีเนื้อที่  3ไร่ 1  งาน  81  ตารางวาเป็นมูลค่า  5,249,701  บาท  จาก"สำนักงานสลากกินแบ่งของรัฐบาล เพื่อปรับปรุงขยายให้เป็น "วิทยาลัย" จนปัจจุบันวิทยาเขตพณิชยการพระนครมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 17 ไร่

นอกจากนี้ ได้ก่อสร้าง  ปรับปรุงอาคารเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ขยายห้องปฏิบัติงานพิมพ์ดีดและเครื่องบวกเลข    เพื่อให้บรรจุนักเรียนได้จำนวนมากขึ้น และดัดแปลงอาคารเรียน เป็นห้อง  Sound Lab  ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น

ยกฐานะขึ้นเป็น "วิทยาลัย"

ในปีการศึกษา 2511 กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติให้ขยายการศึกษาถึง "ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง" (ปวส.)  ต่อจาก  ม.ศ.6(ปัจจุบันคือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ  หรือ  ปวช. นั่นเอง) อีก 2 ปีและประกาศตั้งเป็น      "วิทยาลัยพณิชยการพระนคร      (TheCommercial College) ขึ้น วิทยาลัยฯ จึงได้ดัดแปลงอาคารเรียนในที่ดินของกองสลากกินแบ่งของรัฐบาลที่ได้ รับโอนมาซึ่งอยู่ติดกับบริเวณโรงเรียนพณิชยการพระนคร เพื่อรับนักศึกษาของวิทยาลัยฯ แต่อาคารสถานที่ อาจารย์ผู้สอน และการดำเนินการบางประการจำเป็นต้องอาศัยโรงเรียนพณิชยการพระนครอยู่  ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงสั่งรวมโรงเรียนพณิชยการพระนคร กับวิทยาลัยพณิชยการ  เข้ามาเป็น สถาบันเดียวกัน และให้เรียนชื่อใหม่ว่า   "วิทยาลัย พณิชยการพระนคร" (The Bangkok Commmercial Campus) ตั้งแต่วันที่ 1พฤศจิกายน พ.ศ. 2512

และในปีการศึกษา  2514  วิทยาลัยฯ   ก็ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการให้ขยายการศึกษาจนถึงระดับฝึกหัดครูธุรกิจ      ต่อจาก ปวส.อีก 1 ปี ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับ "ประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยมธุรกิจ" (ปมธ.)

ปัจจุบันวิทยาเขตฯ ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการให้มีการขยายการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีโดยวิทยาเขตระรับผู้ที่จบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงเข้าศึกษาต่อเป็นเวลา 2  ปี  โดยแผนกที่ เปิดการสอนคือ แผนกการบัญชี

ตามโครงการตัวอาคารใหม่ของวิทยาลัยพณิชยการพระนคร  จะสร้างเป็นรูปตัว O แต่ทางวิทยาลัยฯ  ได้รับงบประมาณในปี  พ.ศ. 2512เป็นค่าก่อสร้างอาคาร และครุภัณฑ์เพียง 4 ล้านบาท  จึงได้สร้างเป็นรูปตัว U ก่อน ตามกำลังงบประมาณที่ได้รับ ด้านหลังสุดของเนื้อที่เป็นอาคาร 3 ชั้น ด้านซ้ายและขวาเป็นอาคาร 2 ชั้น  การก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 5  กรกฎาคม  พ.ศ. 2513  และในปี  พ.ศ.2514วิทยาลัยก็ได้รับงบประมาณอีก 1 ล้าน 5  แสนบาท  ซึ่งพอสำหรับต่อเติมอาคารด้านหน้าทางซ้าย  อาคารที่ต่อเติมใหม่นี้ เป็นอาคาร 4 ชั้นและในปีเดียวกันนี้วิทยาลัยฯ   ก็ได้ใช้เงินบำรุงการศึกษาเป็นจำนวน35,000 บาท มาต่อเติมอาคารด้านซ้ายที่สร้างในปี พ.ศ. 2512 ให้เป็นอาคาร 3 ชั้น

ในปี พ.ศ. 2514 วิทยาลัยพณิชยการพระนคร  ก็ได้รับงบประมาณอีก2  ล้านบาท  สำหรับต่อเติมอาคารด้านขวาให้ครบ   ตามโครงการอาคารที่จะต่อเติมใหม่นี้ เป็นอาคาร 4 ชั้น  การก่อสร้างแล้วเสร็จในต้นปี พ.ศ. 2515

ต้นเดือนพฤษภาคม  2515   วิทยาลัยได้รับอนุมัติให้ใช้เงินบำรุงการศึกษา จำนวน 67,400 บาท เพื่อจัดทำเป็น Read Lab ซึ่งนักศึกษาจะต้องฝึก   Extensive  Reading   และพัฒนา   IntensiveReading  ให้สามารถอ่านตำราภาษาอังกฤษได้รวดเร็วและจับความได้ดียิ่งขึ้น  ดังนั้นในปัจจุบันนอกจากจะมี Sound Lab ซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในหลายประเทศ เรายังมี Reading Lab ที่ทันสมัยที่สุดแห่งแรกในเอเชียอาคเนย์อีกด้วย

ในปี พ.ศ. 2519 วิทยาลัยได้รับงบประมาณ 5  ล้านบาทและใช้เงินบำรุงการศึกษาสมทบ 5 แสนบาท ก่อสร้างอาคารเรียน 1 หลัง ด้านถนนลูกหลวงแหละปี 2520  ได้รับงบประมาณ  2  ล้านบาทก่อสร้างอาคารหอประชุมโครงอาหารแทนโรงอาหารเก่าซึ่งรื้อถอนออกไปนอกจากนี้ในขณะนี้ได้ดำเนินการของบประมาณปี 2528  จำนวนเงิน10 ล้านบาท  ก่อสร้างอาคารปฏิบัติงาน 5 ชิ้นโดยขอเป็นโครงกาต่อเนื่องในปี 2528 จำนวน 4 ล้านบาท  ปี 2529 จำนวน 3 ล้านบาทและปี 2530 จำนวน 3 ล้านบาท เป็นอันว่าการก่อสร้างอาคารเรียนจะสำเร็จขึ้นตามโครงการ

ดังนั้น วิทยาลัยพณิชยการพระนคร  หรือ วิทยาเขตพณิชยการพระนคร ในปัจจุบัน ก็คือ โรงเรียนพณิชยการพระนครในอดีต  ที่ได้รับการยกฐานะให้สูงขึ้นนั่นเองและมีอาคารสถานที่อันสง่างามเป็นหลักแหล่งมั่นคง ไม่ต้องอพยพเร่ร่อนกันอีกต่อไป

[ กลับไปข้างบนสุด ]

คัดลอก/แก้ไขจาก หนังสือ อนุสรณ์ปี พ.ศ. 2535