1. ปลากะตักคือปลาประเภทไหนและเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับคนทั่วไป
ปลากะตัก (หรือปลาฉิ้งฉ้าง ปลาไส้ตัน ปลาจิ้งจัง)เป็นปลาขนาดเล็ก
ความยาวประมาณหกเจ็ดเซ็นติเมตรทั่วโลก
มีอยู่ 18 ชนิด แต่ที่พบในประเทศไทยมีอยู่ 11
ชนิด ปลาชนิดนี้มีอายุไม่เกินสามปี เป็นอาหารของปลาใหญ่อื่น ๆ
ในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้สองประเภทใหญ่
ๆ คือ เป็นวัตถุดิบในการทำน้ำปลาและเป็น
ปลาตากแห้งขายทั้งในและต่างประเทศ เพราะเป็นปลาที่มีคุณค่าทางด้านโภชนาการสูงคนที่กินน้ำปลาทุกคนจึง
เกี่ยวข้องกับปลากะตัก
2. เขาจับปลากะตักกันอย่างไรแลละทำไมจึงต้องคัดค้านเรือปลากะตักปั่นไฟ
การจับปลากะตักมีมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยใช้เรืออวนล้อมจับปลาในเวลากลางวัน
ซึ่งเป้นการทำการประมงที่ไม่ทำลาย
ล้างเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จับได้คือปลากะตัก
แต่หลังปี 2520 เป็นต้นมามีการใช้เครื่องปั่นไฟประกอบเรืออวนล้อม
อวนยก หรืออวนครอบจับปลา แสงไฟจะเป็นตัวดึงดูดปลากะตักขึ้นมาให้ล้อมจับ
แต่แสงไฟยังดึงดูดเอาสัตว์น้ำวัย
อ่อนชนิดต่าง ๆ ขึ้นมาทั้งหมดด้วย เท่าที่มีการศึกษาโดยกรมประมง
ระหว่างปี 2531-2541 สัตว์น้ำวัยอ่อนอื่น ๆที่ติด
ขึ้นมาจะอยู่ระหว่าง 5-28 เปอร์เซ็นต์ เอกสารประกอบการประชุมคณะกรรมการการประมงแห่งชาติระบุว่ามีเรือไฟ
ปั่นปลากะตักประเภทอวนล้อมประมาณ 200 ลำ อวนครอบ
อวนช้อนประมาณ 900 ลำ เรืออวนช้อนทำการประมงใน
จ.สงขลาในปี 2541 ประมาณ 230 ลำ เรือเหล่านี้บางส่วนเข้ามาทำการประมงทางฝั่งอันดามัน
ต้นปี 2542 มีเรือปั่นไฟ
ปลากะตักทางฝั่งอันดามันไม่น้อยกว่า 200 ลำ
3. การทำลายของเรือไฟปั่นยังน้อยกว่าเรืออวนลาก
อวนรุน ทำไมไม่ไปต่อต้านเรืออวนลากอวนรุน
ตามข้อมูลที่มีการศึกษาในปัจจุบัน อวนรุนจะจับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดเพียงประมาณร้อยละ
40-45เท่านั้น ที่เหลือเป็น
ปลาเป็ดและปลาที่ไม่ได้ขนาด ในขณะที่อวนลากก็จับปลาที่ได้ขนาดเพียงร้อยละประมาณ
40 เช่นกัน ที่เหลือเป็น
ปลาเป็ดและเป็นลูกปลาที่ไม่ได้ขนาด ดูตามสัดส่วนที่ว่านี้อวนปลากะตักปั่นไฟทำลายน้อยกว่าแน่นอน
แต่สิ่งที่
นักวิชาการประมงยังไม่ได้ศึกษาเปรียบเทียบออกมาคือ
ชนิดของปลาที่ถูกทำลายไปของอวนลาก อวนรุนที่ถูกทำลาย
โดยเรือไฟปั่น แตกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร
เพราะชนิดกุ้งปลาที่ต่างกัน จะส่งผลกระทบกับชาวประมงกลุ่มอื่น
ต่างกัน ที่ต้องตั้งคำถามอย่างนี้เพราะในหลายพื้นที่มีเรืออวนลาก
อวนรุนมาก่อน แต่ก็ยังพอทน เมื่อมีเรือไฟปั่นเข้าไป
ชาวประมงพื้นบ้านที่นั่นแทบล้มทั้งยืนในทันที
เพราะกุ้งปลาหายไปเกือบหมด เรืออวนลากอวนรุนนั้นถูกห้ามทำการ
ประมงในเขต 3,000 เมตร เป้นหน้าที่ของกรมประมงและตำรวจที่จะจับกุมเรือที่ละเมิดกฏหมายให้หมดสิ้น
ไม่ใช่ว่ามา
ถามชาวบ้านว่าทำไมไม่ไปคัดค้านอวนลากอวนรุก ถ้าสามารถควบคุมเรือทั้งสองประเภทให้อยู่นอกเขต
3,000 เมตรได้
ชาวประมงพื้นบ้านก็จะพออยู่ได้ แต่ในระยะยาวถ้าจะทำการพัฒนาประมงแบบยั่งยืน
เครื่องมือทำลายล้างทุกชนิดต้อง
หมดไป
4. ใครบ้างที่เดือดร้อนจากเรือไฟปั่น
ชาวประมงทุกคนมีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 50,000
ครอบครัว (ประชากรกว่า 200,000คน)ไม่ว่าจะเป็นเรือประมง
พื้นบ้านหรือประมงพาณิชย์ เพราะลูกกุ้งลูกปลาที่ไฟปั่นดูดขึ้นไปนั้นทำลายนั้นเป็นลูกกุ้งปลาที่เป็นสัตว์น้ำเป้า
หมายของชาวประมงทุกกลุ่ม เรือไฟปั่นปลากะตักนั้นถูกขับไล่จากทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านมาแล้ว
ตลอดน่านน้ำ เรือประมงปลากะตักที่ทำงานในเวลากลางวันก็เดือดร้อนอย่างหนัก
เพราะเมื่อมีเรือไฟปั่นเข้ามาก็
กวาดเอาปลากะตักไปหมดสิ้น
5. ลองยกตัวอย่างหรืออ้างอิงข้อมูลความเดือดร้อน
ความเสียหายที่ชัดเจนมาดู
ไม่ว่าพูดที่ไหนนักวิชาการกรมประมงจะอ้างแต่รายงานที่ตนเองศึกษาถึงสัดส่วนของสัตว์น้ำที่เสียหายว่าต่ำกว่า
อวนรุนอวนลาก แต่สิ่งที่กรมประมงไม่เคยศึกษาคือความเสียหายจริง
ๆที่เกิดกับชาวประมงพื้นบ้าน กลุ่มชาวประมง
พื้นบ้านที่เคลื่อนไหวคัดค้านเรือไฟปั่นปลากะตักอยู่ในตอนนี้ไม่มีเงิน
ไม่มีนักวิชาการช่วยศึกษา บอกได้แต่ข้อเท็จ
จริงที่รวบรวมมาจากปากคำของชาวประมงได้ดังนี้
ชาวประมงพื้นบ้านที่อ.สทิงพระจ.สงขลา เคยมีรายได้วันละ
700-800 บาทก่อนปี 2539 พอเรือไฟปั่นบุกตั้งแต่ปี
2539 เป็นต้นมา มีรายได้เพียงวันละ 200 บาท ไม้ต้องอ้างว่า
พื้นที่นี้อาจจะมีอวนรุนอวนลาก เพราะแทบจะไม่มีเรืออวนรุนอวนลากเข้าไปทำการประมงในเขต
3,00 เมตรของ
ที่นี่เลย ชาวประมงพื้นที่นี่มีความเสียหายที่ชัดเจนคือ
การจับปลากะตักแบบพื้นบ้านใช้อวนล้อมอวนลากหมดสิ้น
ไปทันทีกุ้งเคยได้วันละ 20-30 กก.เหลือเพียงวันละ
5-10 กก.ปลาหมึกจากวันละ 30-40 กก.เหลือเพียงวันละ 0.5-1 กก.
ปูจากวันละ 30-40 กก.เหลือเพียงวันละ 15 กก.
ชาวประมงอวนล้อมปลากะตักกลางวันในอ่าวพังงา เคยจังปลาได้วัน
ละ 1,000-3,000 กก. หลังจากที่เรือไฟปั่นเข้าไปในปี
2541 (ถูกไล่ไปจากสงขลา)ชาวประมงที่นี่จับปลากะตักได้ลดลง
เหลือประมาณวันละ 100-300 กก.เท่านั้น ชาวประมงพื้นบ้านที่กิ่งอ.สุขสำราญจ.ระนอง
มีเรือปลากะตักกลางวันเกือบ
20 ลำ จับปลาได้ประมาณวันละ 10,000 กก. ต่อลำ
ประมาณปี 2535-2536 มีเรือปลากะตักเข้าไปทำการประมงที่นั่น
ประมาณ 10 กว่าลำ จับปลาได้วันละประมาณ 100,000
กก.ต่อลำ(ยืนยันว่าต่อลำ) ผลก็คือเรือปลากะตักเดิมส้มละลาย
หมดสิ้น หลังจากที่เรือไฟปั่นเข้ามาในอ่าวพังงา
ชาวประมงที่จับแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำขายพบว่า แม่พันธุ์กุ้งเหล่านั้น
ตาเหลวหมด(เพราะแสงไฟสูงเรือไฟปั่น เพราะก่อนนี้ไม่มีปรากฏการณ์เช่นนี้)ไม่สามารถเอาไปทำพันธุ์ได้เป็นการ
ทำลายแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำในแหล่งการประมงที่ดีที่สุดของประเทศไทยด้วยความเสียหายเหล่านี้กรมประมงเคยศึกษา
บ้างหรือไม่ เคยรู้บ้างหรือไม่ เคยเสนอข้อมูล,เข้าสู่การประชุมคณะกรรมการประมงแห่งชาติบ้างหรือไม่
หรือเสนอ
แต่สิ่งที่ตนเองมีเท่านั้น กรมประมงเคยศึกษาบ้างหรือไม่ว่าการจับปลากะตักเกินขนาดมีผลกระทบกับปลาชนิดอื่น
ๆ
ที่กินปลากะตักเป็นอาหารหรือไม่ (ปลาเหล่านี้คือแหล่งรายได้ของประมงพื้นบ้าน)เคยคิดบ้างไหมว่าผลกระทบของ
เรือไฟปั่น ไม่ใช่ดูแค่สัดส่วนกุ้งที่จับขึ้นมาไปเปรียบเทียบกับอวนรุนเท่านั้น
แต่ต้องดูว่ากระทบกับระบบทั้งหมดของ
ทะเลอย่างไร
6. การแบ่งเขตการทำมาหากินตามที่คณะกรรมการประมงแห่งชาติมีมติเมื่อวันที่
3 มิถุนายน
ที่ผ่านมาน่าจะเป็นทางออกได้
เราต้องแบ่งกันทำมาหากิน ไม่ใช่หรือ
วิธีการแก้ปัญหาการใช้ทรัพยากรทางทะเล น่าจะไม่ใช่ดูแค่ว่าใครทำลายมาก
ทำลายน้อยแล้วตัดสิน แต่ต้องดูว่า
วิธีการประมงแบบไหนจะยั่งยืนกว่ากัน การใช้เรือไฟปั่นดูดเอาสัตว์น้ำทุกชนิดขึ้นมามากกว่าปกติถึง
10 เท่าตัว
(เปรียบเทียบจากตัวเลขเรือปลากะตีกกลางวันกับเรือไฟปั่นในข้อ
5)นั้นจะพูดได้อย่างไรเล่าว่าเป็นการประมงที่
ยั่งยืนเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องเครื่องมือประมงน่าจะเป็นเกณฑ์ว่า
เครื่องมือไหนใช้ทรัพยากรได้ยั่งยืนกว่ากัน
การแบ่งเขตทำการประมงดูเผินๆ จะเป็นการแบ่งทรัพยากรการหากิน
แต่ลึก ๆ แล้วเรือไฟปั่นได้ประโยชน์เต็มๆ
เพราะปัจจุบันเรือไฟปั่นส่วนใหญ่ก็ทำการประมงอยู่นอกเขต
5 กม.อยู่แล้ว ประสบการณ์ของชาวประมงพื้นบ้าน
พบว่าไม่ว่าเรือจะอยู่ที่ไหนในท้องทะเลไทยก็สามารถดูดเอาสัตว์น้ำขึ้นมาทำลายได้ทั้งสิ้น
อวนลาก อวนรุนนั้น
ต้องมีเครื่องมือไปตามไล่สัตว์น้ำ โอกาสที่สัตว์น้ำจะหลุดรอดมีอยู่มาก
แต่เรือไฟปั่นปลากะตัด ปั่นไฟอยู่กับที่ ใช้
ไฟถึงสามสี่สิบดวง แม้อยู่นอกฝั่งก็ดูดเอาลูกปลาชายฝั่งออกไป
นอกจากนั้นชาวประมงในอ่าวพังงาที่ทำอวน
ปลากะตักกลางวันระบุว่า ปกติปลากะตักจะเข้ามาชายฝังในตอนกลางคืนกลางวันจึงมีปลาให้จับ
แต่เมื่อไฟปั่น
เข้ามา ทำการประมงอยู่นอกเขต 3,000 เมตร ดักเอาปลากะตักไปหมด
ชาวประมงที่จับปลากลางวันจึงไม่มีอะไร
เหลือดังกล่าวแล้วการแบ่งเขตทำการประมงไม่ได้แก้ปัยหาการทำลายล้างของเรือไฟปั่นแต่อย่างไร
7. การยกเลิกเครื่องมือจับปลากะตักปั่นไฟทำให้ชาวประมงจำนวนที่เกี่ยวข้องกับปลากะตักตกงาน
มีการอ้างตัวเลขว่าจะมีคนที่เกี่ยวข้องถึง 40,000
คน ชาวประมงพื้นบ้านส่วนหนึ่งที่หันทำประมงปั่นไฟหรือกิจกรรม
ที่เกี่ยวข้องนั้นได้ประโยชน์จากกิจกรรมนี้จริง
แต่มีแง่คิดสองสามประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประการแรกผลประโยชน์
ที่ว่านี้เป็นผลประโยชน์ชี่วคราวหรือผลประโยชน์ระยะยาว
ถ้าเรือไฟปั่นเอาทรัพยากรขึ้นมาวันละนับพันตันทุกวัน
ตลอดปีอย่างนี้ เราจะหากินได้อีกกี่ปี เมื่อหมดแล้วเราจะกินอะไร
เราจะกินให้หมดวันนี้หรือหรือเหลือไว้พรุ่งนี้ด้วย
เราจะส่งเสริมอาชีพที่อยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืนหรืออาชีพที่อยู่ได้ไม่กี่ปี
ประการที่สอง
ถ้าปลากะตักลดอย่างรวดเร็วหรือ
หมดไป สิ่งที่จะหมดไปด้วยคือสัตว์น้ำที่กินปลากะตักเป็นอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นปลาอินทรีย์ ปลาสิกุน ปลาดาบลาว ปลาโอ ปลาหมึก ฯลฯ ที่น่าตกใจตอนนี้นักวิชาการประมงไทยยังไม่สามารถบอกได้(หรือยังไม่สนใจศึกษา)ว่าถ้าปลากะตักหมด
หรือลดลงอย่างมากจะส่งผลกระทบกับปริมาณสัตว์น้ำอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างไร
แค่ไหน มีแต่ชาวประมงพื้นบ้านที่โดน
ผลกระทบเต็มๆ ไปแล้วตามที่ต่าง ๆ น่าสนใจว่าถ้าเราพูดถึงความมั่นคงด้านอาหาร
( Food Security ) เรายังปล่อยให้
มีการทำลายสัตว์น้ำที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อาหารอย่างรุนแรงได้อย่างไร
ประการที่สาม
ใครคือคนได้ประโยชน์มากที่สุด
จากการประมงปลากะตักปั่นไฟ กลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สำคัญคือโรงงานน้ำปลา
ที่ต้องการเอาปลากะตัก
ไปทำน้ำปลา อ้างว่าวัตถุดิบขาดแคลนอย่างยิ่ง
ต้องสนับสนุนเรือไฟปั่น ไม่อย่างนั้นคนที่กินน้ำปลาจะเดือดร้อนเพราะ
ไม่มีน้ำปลาเพียงพอ
8. เรื่องน้ำปลาเป็นเหตุผลที่น่ารับฟังอย่างยิ่ง
โรงงานน้ำปลาบอกว่ามีคนกินน้ำปลา 40 ล้านคน
ลองมองอีกแง่หนึ่งว่าตอนนี้เรามีน้ำปลาส่งออกใช่ไหม
ถ้าเราจะรักษายอดการส่งออกก็ต้องไม่เลิกเรือกะตักไฟปั่น ซึ่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับทรัพยากรทางทะเลและชีวิตคนจำนวนมาก
เราจะรักษาทรัพยากรและคนหรือจะรักษา
ยอดการส่งออกของโรงงานน้ำปลา ถ้าเราไม่มีทรัพยากรเพียงพอ
เราต้องงดการส่งออกไม่ใช่หรือ หรือเราจะช่วยกัน
ทำลายทรัพยากร ทำลายชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อรักษากำไรของโรงน้ำปลา
โรงงานน้ำปลาอาจจะมีเหตุผลมากมาย
ที่สนับสนุนเรือปลากะตักปั่นไฟต่อไป แต่ดูดีๆว่าเหตุผลนี้เพื่อใครกันแน่
9. แล้วจะมีทางออกอย่างไร ในเมื่อปลากะตักมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
ชาวประมงพื้นบ้านไม่เคยคัดค้านการจับปลากะตัก
แต้ต้องจับปลาในเวลากลางวัน เรามีชาวประมงที่จับปลากะตัก
ในเวลากลางวันอยู่มากมายทั่วประเทศ เฉพาะในอ่าวพังงามีถึง
70 ลำ เป็นการการประมงที่ยั่งยืน เพราะจับครั้งละ
ไม่มาก ปลาขยายพันธุ์มาทดแทนได้ทันจึงสามารถทำกันมาได้หลายชั่วคนแล้วและยังทำได้ติอไป
ถ้าไม่มีเรือไฟปั่น
เข้าไปทำลาย เราต้องกลับไปส่งเสริมการจับปลากะตักเหล่านี้
ไม่ใช่ส่งเสริมเรือปั่นไฟให้ไปทำลาย โรงงานน้ำปลา
ก็ต้องเอาปลาจากการทำการประมงเหล่านี้มาเป็นวัตถุดิบ
เพราะในอดีตเราก็จับปลากะตักกันมาแบบนี้ ยกเว้นแต่ว่า
มันจะไม่ทันใจในการทำกำไรและการส่งออก
ถ้าเราส่งเสริมเรือจับปลากะตักไฟปั่นเท่ากับว่า น้ำปลาที่เรากินคือ
น้ำที่กลั่นจากเลือดเนื้อของชาวประมงพื้นบ้านที่ล่มสลายเพราะเรือปั่นไฟ |