ทุกวันนี้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บวกกับแรงสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ธุรกิจแขนงนี้กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั้ง
Domestic และ International กลยุทธ
ทางการตลาดถูกนำมาใช้เพื่อสนองอุปสงค์ของผู้บริโภค
รูปแบบการเดินทางที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง การเดินป่า ดูนก ล่องแก่ง ไต่เขา
ดำน้ำดูปะการัง หรือลากร่ม (paracell) แต่กระจายไปถึงการเข้าไปใช้ชีวิต กับชาวเขา
ชาวนา ดูการฟ้อนรำและดำนา ในระยะเวลาอันจำกัดจำเขี่ยทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม
กำลังถูกนำมาวางขาย และเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนเงินตราเข้าประเทศภายใต้แผนพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอัดกระป๋องและ
สโลแกนเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ด้วยคำขวัญที่ว่าการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Eco tourism) จะเป็นการพัฒนาการ
ท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน
(Sustainable development) อันจะนำรายได้เข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง ทว่านั่นย่อมหมายถึง
การจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
ทุกวันนี้เราเข้าใจกันดีแล้วหรือว่าภายใต้สโลแกนอันสวยหรูนั้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์คืออะไร
บริษัทนำ
เที่ยวหลายรายเข้าใจเพียงแค่ว่าพาลูกค้าไปเที่ยวในธรรมชาติก็สามารถโปรโมทตัวเองอย่างโก้หรูว่า
Eco-tour
แล้ว ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเที่ยวธรรมดาหรือเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่างก็มีผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม มลพิษทั้งทางน้ำ อากาศ และเสียงของเสียและสิ่งปฏิกูลที่เราชำระ
ล้าง คราบสบู่-ผงซักฟอก-น้ำมัน
ควันพิษจากท่อไอเสียรถ อีกทั้งเสียงอึกทึกที่เกิดจากยานพาหนะและกิจกรรมต่าง
ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น
หน้าดินและริมตลิ่งถูกทำลาย สัตว์ป่าสูญหาย ทะเลพิการวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่
ของชาวบ้านได้รับความเปลี่ยนแปลง
ในปี ๒๕๔๒ ที่ผ่านมา ททท.ได้สรุปรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศว่ามีจำนวนถึง
๒๐๑,๒๐๐ ล้านบาท
ตัวเลขนี้มาจากไหน
สำหรับผมตัวเลขเหล่านี้ไม่แตกต่างไปจากคำตอบของคำถามที่ว่าบนท้องฟ้ามีดาวกี่ดวง
คุณจะใช้มาตราฐานอะไรมาวัดสิ่งที่เราควรคำนึงถึงวันนี้ไม่ใช่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้
ประชาชาติแต่เป็นความเข้าใจว่าเราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านทุกคนได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวอย่างเสมอ
ภาคในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้คงอยู่ให้ได้
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่แท้จริงนั้นจึงมิได้เป็นเพียงการเดินทางเพื่อเรียนรู้-ปกปักรักษาธรรมชาติและวัฒน
ธรรมเท่านั้นแต่หมายถึงการให้ประโยชน์ต่อพื้นที่ที่เราไปเยือนการสร้างงานและรายได้ให้กับชาวบ้านเพื่อที่เขา
จะได้รู้คุณค่าในทรัพยากรที่เขามีและร่วมกันหวงแหนไว้ให้ลูกหลานเพราะจนถึงทุกวันนี้
บทเรียนต่าง ๆ ได้สอน
ให้รู้ว่าเราไม่สามารถเชื่อถือการดำเนินงานของรัฐบาลหรือหน่วยงานใดได้เมื่อผู้มีหน้าที่แก้ปัญหาไม่ประสบกับ
ปัญหาด้วยตัวของเขาเองแล้วเขาย่อมไม่เห็นปัญหาและไม่คิดที่จะทำอะไรให้ดีขึ้นคงมีแต่ชาวบ้านที่หาอยู่หากิน
มากับป่ากับทะเลมานับชั่วอายุคนเท่านั้นที่จะตระหนักถึงชีวิตและจิตวิญญาณของผืนป่าและสายน้ำและแน่นอน
พวกเขาเหล่านั้นคือผู้พิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของประเทศที่มีประสิทธิภาพมาก
ที่สุด
ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ก็ยังเป็นแค่ เชิง
อนุรักษ์ ความเข้าใจในคำว่า Eco tourism กับ Mass tourism ถูกจับมารวมกันเป็นจับฉ่ายและขยี้ขยำยำจนเละยิ่งกว่าอาหารหมา
บริษัททัวร์และกลุ่มนำเที่ยว
ต่าง ๆ
นำนักท่องเที่ยวกว่า ๒๐-๓๐ คนเข้าป่าภายใต้สโลแกนคำว่า Eco-tourหารู้ไม่ว่าแค่เพียงรอยตีนของนักท่อง
เที่ยวที่เหยียบย่ำบนผืนหญ้าก็ทำลายชีวิตสัตว์ป่าและพันธุ์พืชไปเท่าไหร่แล้วการท่องเที่ยวในลักษณะนี้ไม่ต่าง
อะไรไปจากการเดินทางที่มีขวดแก้วล้อมรอบตัวเองไว้
(Environment bubble) จำกัดตนอยู่ในวงสังคมแคบ ๆ
เดินทาง
ไปกับคนที่รู้จักกับบริษัททัวร์ที่วางแผนตารางเวลาตั้งแต่ต้นจนวันกลับ กินอาหารกับร้านที่อยู่ในรายการ
นอนค้างโรงแรมที่จองไว้ มีไกด์และคนนำทางพร้อมสรรพ นักท่องเที่ยวไม่เคยได้พบและพูดคุยกับชาวบ้าน
ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ไม่เคยได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ซ้ำร้ายวิถีชีวิตของพวกเขายังถูกทำลาย
โดยไม่สามารถจะไปฟ้องร้องกับใครได้รายได้ต่าง
ๆ ก็ย้อนเข้าไปหาบริษัททัวร์รายใหญ่อย่างเป็นกอบเป็นกำ
จะมีความหมายใดหากเราได้ดูนกที่สวยงามบนเขาสามร้อยยอด ในขณะที่ห่างไปไม่ไกลชาวบ้านกำลังต่อต้าน
คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กำลังจะมาทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา
จะมีความหมายใดหากเราได้เล่นน้ำเย็นใจ
ที่แก่งตะนะ
ชมภาพเขียนสีที่ผาแต้ม ขณะที่เหนือต้นน้ำขึ้นไปชาวบ้านกำลังอดอยากหมดสิ้นที่ทำกินเพราะ
วิบากกรรมจากเขื่อนปากมูล
และจะมีความหมายใดกับน้ำทะเลสีครามสดใสในภูเก็ตและเกาะสมุย เมื่อชาวบ้าน
กำลังรอวันตายจากสารไดออกซินที่โรงงานเผาขยะทิ้งปนเปื้อน
ทั้งในอากาศและในน้ำ ช่วยกันรับผิดชอบต่อ
สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตพื้นบ้าน
โดยการเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี รู้จักปรับตัวเข้าหาธรรมชาติและชุมชนที่เราไปเยือน
แทนที่จะเรียกร้องให้เขาเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่เพื่อรองรับความต้องการของเราตระหนักเสมอว่าเขาคือเจ้าของ
บ้านและเราเป็นเพียงแขกผู้มาเยือน |