เรื่องเล่าจากการเดินทาง 
ครั้งแรกที่เขาใหญ่
      อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ในแวดวงอนุรักษ์ฯ ที่เกิดขึ้นในขอบข่ายของกิจกรรม  
นักศึกษาที่จะกระทำได้ โดยผมเองได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเรื่อง ป่าดงพงพี ซึ่งทำให้  
ผมเองเกิดความรู้สึกว่า อยากที่จะเดินป่าหรือท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพร และแล้วในที่สุด ความฝันนั้นก็เกิดเป็นจริงขึ้นมาจนได้ เมื่อผมได้พบเข้ากับชมรมอนุรักษ์ฯ ของมหาวิทยาลัยที่มี  
ชื่อเสียงแห่งหนึ่งเข้า และที่นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของผม  
      จำได้ว่าครั้งนั้นเป็นการจัด Trip ของชมรม ตอนช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2533 ก็ไปที่ อุทยาน  
แห่งชาติเขาใหญ่ เพื่อจะเดินทางไปศึกษาธรรมชาติ แหะ ๆ ก็ไปเที่ยวนะละครับ แต่เรียกให้มัน  
โก้เสียหน่อย ครั้งนั้นเราเดินทางไปโดยรถตู้ มีคนไปทั้งหมดประมาณ 12 คน โดยมีพี่หมอปี4 ซึ่งพวกเราขนานนามเค้าว่า นิโคจัง ( ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ) เป็นหัวหน้าทริปนี้ 
" เอ้าเร็วเข้าน้อง ๆ นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวไปถึงดึกมาก จะโดนว่าเอา " เสียงพี่นิโคโวยวายมา  
พร้อม ๆ กับการบงการจัดของขึ้นรถ " ค่า กำลังรีบเต็มที่แล้วเจ้าคะ โธ่ ! ตัวเองก็พึ่งจะมาถึงแท้ ๆ " พวกเราน้อง ๆ ทั้งหลายพากันอุทรขึ้นมา พี่นิโคเธอหันมาค้อนควับแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจาก  
ที่จัดข้าวของกันเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เราก็เริ่มออกรถกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว   
      ระหว่าที่พวกเรานั่งรถไปนั้น พี่นิโคแกก็จะเล่าเรื่องต่าง ๆให้ฟังมากมาย แต่ส่วนที่ฟังก็ฟังไป   
ส่วนที่หลับก็หลับกันไป รถของเราก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วพอประมาณ ( ก็ไม่ทราบว่าเท่าไร  
เหมือนกัน เพราะผมก็นั่งหลับด้วย ) จากแยกรังสิต ไปตามถนนสายองครักษ์ มุ่งสู่เมืองนครนายก  
เข้าสู่เมืองปราจีนบุรี จนกระทั่งพอรถเริ่มเลี้ยวขึ้นสู่ถนนที่จะขึ้นไปสู่ตัวอุทยาน ( แยกนเรศวรใน  
ปัจจุบัน ) พวกเราซึ่งได้รับการบอกเล่ามาก่อนแล้วว่า ถ้าโชคดี ( หรือเปล่า ) อาจจะได้เห็นช้างออก  
มาเดินเล่นตามถนนก็ได้ ก็เริ่มทยอยตื่นขึ้นมาพร้อม ๆ กับปลุกคนข้าง ๆ ให้ตื่นขึ้นมาด้วย จน  
กระทั่งรถของเรามาหยุดที่ตรงด่านเนินหอม ตอนเกือบ ๆ เที่ยงคืน จากนั้นเราก็ลงไปเสียค่าผ่าน  
ทางและก็ขับรถต่อไปได้ ( ปัจจุบัน เปลี่ยนกฏว่าห้ามรถขึ้นไปหลัง 21.00 น. โดยเด็ดขาด ) รถ  
ของเราก็ยังคงวิ่งไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงบ่นที่เริ่มมีมากขึ้นว่า " เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นเจอช้างอย่าง  
ที่พี่บอกเลยละ " เสียงเจ้าลี ซึ่งเป็นเพื่อนผมคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างอดรนทนมิได้ " อ้อ ! สงสัย  
ว่าช่วงนี้มันยังไม่ดึกเกินไปมั้ง หรือไม่มันก็เปลี่ยนทางเดินเสียแล้วละมั้ง " เสียงพี่นิโคตอบมา  
เชิงแก้ตัว " อย่างนั้นหรือคะ เอ๊ะ แล้วทำไมมันต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินด้วยละคะ " เจ้าลีก็ยังถาม  
ต่อด้วยความสงสัยเสียเต็มประดา " เอ่า ! มันก็กลัวคน กลัวถูกรถชน นะสิ มันถึงต้องเปลี่ยน  
เส้นทางเดิน " พี่นิโคแกตอบมาว่าอย่างนั้น ( ซึ่งต่อมาภายหลังเราจึงรู้ว่าโดนแกอำเข้าเสียแล้ว )   
แล้วพวกเราก็ไม่ได้สนใจที่จะซักถามแกมากไปกว่านั้นอีก ก็ได้แต่มองดูสองข้างทางไปเรื่อย ๆ   
ตอนนั้นถนนสายนี้ยังไม่ได้รับการปรับปรุงเท่าที่ควร เพราะเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก ทางก็เป็น  
ถนนสองเลน รถวิ่งสวนกันได้เท่านั้น หาได้เป็นแบบปัจจุบันไม่ สองข้างทางเท่าที่มองเห็นก็เป็น  
ป่าทึบ เต็มไปด้วยต้นไม้เล็ก ๆ ประเภทไม้พุ่มสลับกับไม้ตระกูลหญ้าที่สูงเกือบท่วมหัวเหมือนกัน  
จนกระทั่งเกือบ ๆ ตีหนึ่ง รถของเราก็วิ่งขึ้นมาถึงที่ทำการอุทยานจนได้ พวกเราก็รีบขนของลงจาก  
รถและย้ายตัวเองไปสู่ที่นอน ที่บ้านพักกรองแก้ว ( หลังที่ทำการอุทยาน ) ซึ่งสมัยนั้น ยังเป็น  
ลักษณะเพิงหมาแหงนอยู่เลย เพราะมีเพียงหลังคาที่ใช้กันฝนกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังเราเท่านั้น หาได้เป็นรั้วรอบขอบชิดไม่ ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ แต่เราก็หลับไปได้ถึงแม้จะไม่สนิท  
นักก็ด้วยความอ่อนเพลีย   
     เช้าวันรุ่งขึ้นอันเป็นวันเสาร์ ทุกคนก็พร้อมใจกันตื่นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเสียงพี่นิโคซึ่งมา  
ปลุกทุกคนว่า " นี่ถ้าไม่รีบตื่นเดี๋ยวจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันนะ " ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร   
หลาย ๆ คนกระวีกระวาดกันขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มีใครยอมไปล้างหน้าแปลงฟันกัน เพราะมันหนาว  
มากครับ ยิ่งอากาศตอนใกล้รุ่งนี่ละก็ อึ๋ย ! หนาวสุด ๆ เชียวละ   
     จากที่พักน้ำตกกรองแก้ว เราขับรถย้อนกลับมาทางเดิม คือทางลงปราจีนบุรี จะมีทางแยกเล็ก ๆ   
บอกว่าขึ้นไปเขาเขียว เราก็เลียวรถตรงนั้นละครับ อ้อ ! ลืมบอกไปว่าจุดที่เราจะไปดูพระอาทิตย์  
ขึ้นนั้นเรียกกันว่า ผาเดียวดาย ซึ่งถ้าเราเดินเลยไปอีกสักหน่อย ( ประมาณ 3 ก.ม. ) ก็จะไปถึง   
ผาตรอมใจ รู้สึกคุ้น ๆ ไหมครับ ก็ถ้าใครชอบฟังเพลงของคุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญก็คงต้อง  
เคยได้ยินแน่ ๆ ก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นที่เดียวกันละครับ  แหม ! นอกเรื่องไปเลยเชียวละ จากทางแยก  
ขึ้นเขาเขียวนั้น เขียวสมชื่อเชียวครับ ถนนเป็นทางเล็ก ๆ ขรุขระบ้างตามสภาพระยะทางประมาณ  
สิบกว่ากิโลได้ สองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ โดยทีแรกเราตั้งใจกันว่าจะเปิดหน้าต่าง  
รับลมข้างนอก แทนการเปิดแอร์  ฮึ่ม ! แต่แล้วเราก็รู้ว่าเราคิดผิด เพราะอากาศข้างนอกเย็นมากจน  
เราต้องเปิดแอร์เบา ๆ เพื่อพอให้หายใจได้ ตรงสุดถนนข้างบนนั้นเป็นสถานีเรดาร์ของทหารครับ เราไม่สามารถจะผ่านเข้าไปได้ถ้าไม่ได้ขออนุญาตเสียก่อนหรือว่ามีเส้นใหญ่พอ แต่นั่นไม่สำคัญ  
เพราะเราไม่ได้ต้องการจะเข้าไปในนั้นสักหน่อยนี่ครับ   
     แหม ! พอมาถึงตรงนี้แล้วจะไม่พูดถึงสักหน่อยคงไม่ดีนัก อาจจะเสียเวลาไปบ้างคงไม่ว่ากัน  
นะครับ ตรงป้อมยามนี้เอง จะมีบรรดาผีเสื้อกลางคืนมากมายมาเกาะพักในตอนเช้า หากใครชื่น  
ชมการดูผีเสื้อก็ไม่ควรพลาดนะครับ ซึ่งผมเองก็ได้แต่ดูเท่านั้นละ ไม่มีปัญญาที่จะแจกแจงออกมา  
ว่าเป็นชนิดอะไรบ้าง มีทั้งที่สีสรรสวยงามและก็ดูน่ากลัว จากตรงนี้เราก็เดินย้อนกลับลงมาตาม  
ถนนสักหน่อย แต่ถ้าใครไม่อยากเดินจะจอดรถไว้ที่ลานหน้าทางเข้าหน้าผาก็ได้ครับ เขาจัดเป็น  
ลานไว้จอดรถได้หลายคันอยู่ จากตรงนี้เราเดินเข้าไปกันซักประมาณ 15 นาทีเท่านั้นครับ ทาง  
มองเห็นได้ชัดเจนพอสมควร รับรองว่าไม่หลงเด็ดขาด เพราะว่าถ้าหลงก็จะมีหมีออกมาส่งให้  
ถึงข้างนอกเชียวละครับ หึ หึ หึ ไม่ต้องตกใจไปมากมายนักหรอกครับ ที่ว่าหลงน่ะ เขาเดินเข้า  
ไปกันไกลพอสมควรทีเดียวละ จึงจะเจอกัน คราวนี้จากทางเดินจะพบกับลำธารสายเล็ก ๆ ก็เดิน  
ตามลงไปได้เลยครับ ก็จะเจอกับผาเดียวดาย จุดหมายที่เราจะเฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เผอิญพวก  
เรามากันสายไปสักหน่อย พระอาทิตย์ท่านขึ้นมาสูงเสียแล้ว ที่ผาเดียวดายนี้จะเป็นหน้าผาเล็ก ๆ   
ประมาณว่าคนยืนได้สักสิบกว่าคนเท่านั้นเองครับ ด้านหน้าก็เป็นเขาสามยอด ซึ่งเคยมีคนบอก  
กับผมว่าในช่วงที่นกเงือกรวมฝูงกันเพื่อเข้าสู่ฤดูผสมพันธ์นั้น ที่นี่ก็สามารถจะเห็นได้ด้วย ซึ่ง  
จะมีนกเงือกนับพันตัวมารวมฝูงกันเชียวนะครับ เสียดายที่ผมเองก็ไม่เคยมีโอกาสสักทีเหมือนกัน   
เรานั่งพักกันที่นี่จนกระทั่งแสงแดดเริ่มแผดกล้าขึ้นและท้องของเราก็เริ่มอุทรขึ้นมา พวกเราจึงจำ  
เป็นต้องทำตามความต้องการของท้อง จึงต้องนั่งรถกลับลงมาเพื่อรับประทานอาหารเช้ากันที่ร้าน  
ค้าบริเวณที่ทำการอุทยาน จากนั้นเราจึงกลับเข้าที่พักเพื่อทำการชำระตัวเองเสียก่อนที่เพื่อน ๆ   
จะเริ่มทนกลิ่นกันเองไม่ได้ ก็แหม น้ำที่นี่เย็นมากจริง ๆ นะครับ ขนาดอาบตอนเที่ยง ๆ ยังสั่นเลย   
เมื่ออาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วเราก็แบกเป้ขึ้นหลังเตรียมตัวเดินทางเข้าป่ากันละครับ ตามที่ได้นัด  
หมายกับเจ้าหน้าที่เอาไว้แล้ว  จุดที่เราจะเดินเข้าไปนอนก็คือ หน่วยพิทักษ์ป่าคลองอีเฒ่า   
( ปัจจุบันห้ามเข้าพักแรมเด็ดขาด ยกเว้นมีเส้นเพราะว่าเสือชุมมาก ) โดยจุดที่เราเริ่มเดินทาง  
ก็คือดงเสือผ่าน แหม ! แค่ฟังชื่อก็รู้สึกสยองชอบกลแล้วสิครับ พี่คนนำทางบอกว่าเมื่อสมัยเปิด  
อุทยานใหม่ ๆ ที่บริเวณนี้เสือชุมมากและชอบใช้เป็นทางผ่านบ่อย ๆ จึงตั้งชื่อว่า ดงเสือผ่าน เสียเลย เสียดายว่าในปัจจุบันนี้แม้แต่ขี้เสือก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไรนักแล้ว เส้นทางนี้จะเป็นป่าดิบแล้งผสม  
กับดิบชื้น ทำให้ตลอดทางนั้น นอกจากจะพบกับแมกไม้นานาพรรณแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อย  
อยากจะเจอมันเท่าไรนักก็มีครับ นั่นก็คือ ทาก นั่นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไนัก  
หรอกครับ ถ้ามันมากันเพียงแค่ 4 - 5 ตัว แต่นี่มันเล่นมีมาตลอดทางเดินนี่สิครับ ทำให้คิดหนัก  
เหมือนกันนะ โดยเฉพาะกับพวกสาว ๆ ทำเอาคุณเธอกรี๊ดลั่นป่าเชียวละ กระโดดหนีกันหยองแหยง  
เชียว แล้วก็ตามมาด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางเชียวละ โดยเฉพาะคุณผึ้ง รายนี้แกทั้ง  
กรี๊ดทั้งบ่นทั้งด่า แทบจะเรียกได้ว่ากลัวแบบเสียสติเลยก็ได้ คือแบบว่าถ้าโดนมันเกาะเข้าเมื่อไรนั้น   
เป็นกรี๊ดเมื่อนั้น จนเพื่อน ๆ มาเอาทากออกให้นั่นละแกจึงจะหยุดกรี๊ดได้  แหม ! มัวแต่พูดเรื่อง  
คนอื่น เอาเป็นว่าเจ้าทากนี่นะครับตัวมันก็แค่เท่าก้านไม้ขีดไฟเท่านั้นละ แต่พอลองมันได้เกาะ  
ติดแล้วละก้อมันก็จะเริ่มดูดเลือดคุณ จนกระทั่งตัวมันพองออก พองออกจนเท่านิ้วหัวแม่โป้ง  
ได้ละครับเค้าจึงจะยอมอิ่ม แต่แค่นั้นก็ไม่เท่าไรหรอกนะครับ แต่ที่ดูแล้วมันสยดสยองก็คือถ้าเรา  
ปลดมันออกมาตอนที่มันกำลังดูดเลือดเราอยู่ละก็ เลือดของเราก็จะไหลออกมาเรื่อย ๆ และก็ใช้  
เวลานานมากเสียด้วยสิกว่ามันจะหยุดไหล ลองนึกภาพสิครับ ถ้าโดนเพียงแค่ตัวสองตัวก็คงไม่  
เท่าไรหรอกจริงไหมครับ แต่นี่ถ้าต้องโดนทีเป็นสิบ ๆ ตัวละก็ อึ๋ย ! ไม่อยากจะคิด ว่ามันจะไหล  
เจิ่งนองขนาดไหน   
     สักประมาณสามชั่วโมงกว่าเราก็เดินออกมาบรรจบกับทุ่งหญ้าหนองผักชี จากตรงนี้เราก็เดิน  
ออกไปทางขวาของหอดูสัตว์หนองผักชี อีกสักชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะถึงที่หมาย ( พึ่งมารู้ตอนขากลับว่า  
จริง ๆ แล้วจะเดินเข้าทางด้านหอดูสัตว์หนองผักชีก็ได้ ซึ่งจะสบายกว่ากันเยอะเลย ) แต่ช่วงสุดท้าย  
นี่สิครับทากเยอะกว่าที่ผ่านมาเสียอีก เพราะป่าที่นี่เป็นป่าดิบชื้นตลอดทาง แสงแดดแทบจะส่อง  
ลงมาไม่ถึงพื้นเลยทีเดียว จนบางจุดนี่เราถึงกับต้องวิ่งผ่านทีเดียว แต่มาถึงตรงนี้แล้วทุกคนก็เริ่ม  
หมดอาลัย เอ้ย ! หมดความกลัวครับ ส่วนเสียงบ่นนั้นก็หยุดไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เริ่มเดินกันแล้ว   
     สักบ่ายสามโมงกว่า ๆ เราก็เดินทางมาถึงที่พักกันอย่างค่อนข้างปลอดภัย พอวางของเสร็จแล้ว  
พวกเราก็เริ่มทำการสำรวจตัวเองว่ายังมีทากไปแอบซุกซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันอีกหรือไม่  ซึ่งก็พบ  
ว่าบางคนโดนเกาะมาถึงยอดอกเลยก็มี   
     จนเมื่อเรารวมตัวกันเสร็จแล้วก็เริ่มที่จะก่อกองไฟเพื่อทำอาหารกินกัน ก็เป็นอาหารง่าย ๆ   
ละครับ ตอนนั้นปลากระป๋องเพื่องจะออกมาใหม่ ๆ ดังนั้นอาหารหลักของเราก็เป็นเครื่องกระป๋อง  
เสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ยำปลากระป๋อง ต้มยำปลากระป๋อง อะไรประมาณนี้ จนสักสองทุ่ม  
เราก็มานั่งคุยรวมกันรอบกองไฟ ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่เดินผ่านมากันเมื่อตอนเช้านะละครับ   
ก็พี่แกเล่นเดินอย่างเดียวไม่พูดไม่จาเลย ทำให้น้อง ๆ เกิดความสงสัยกันอย่างมากมาย ดังนั้น  
เมื่อมีโอกาสแล้วก็เลยต่างคนต่างถามต่างบ่นกันเป็นชุด ๆ จนฟังกันไม่ทันเชียวละ ซึ่งเนื้อหา  
ที่ถามก็ประมาณว่า " ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะต้องเจอทาก " หรือไม่ก็ " พามาเดินดูอะไรกัน  
หรือ " ซึ่งก็ได้รับคำอธิบายมาว่า ที่ไม่บอกอะไรก่อนนั้นก็เพราะไม่ต้องการให้กลัวแล้วก็ต้อง  
การให้รู้จักกับการสำผัสป่าจริง ๆ ก่อน ( ซึ่ง จริง ๆ แล้วพี่แกมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ แต่ผมจำไม่  
ได้มากนัก ) ซึ่งก็พอที่จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น จนสี่ทุ่มกว่าเราจึงแยกย้ายกันเข้านอน   
โดยพวกสาว ๆ จะเข้าไปนอนในบ้านพักเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นบ้านสองชั้น ตอนกลางคืนจะปิด  
ประตูหน้าต่างและปิดทางขึ้นลงบันไดด้วย เพื่อป้องกันเสือมิให้มาเคาะประตูเยี่ยมครับ ซึ่งตอน  
นั้นพวกเราเองก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้เหมือนกัน มารู้เอาก็ตอนที่กลับแล้ว พวกผมที่เป็นผู้ชายอีกสี่คน  
ก็หาที่ผูกเปลนอนกันบ้าง ก็มีผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเรียนวิศวะฯ ก็เลือกที่จะนอนอยู่เต็นท์  
เดียวกัน ( โดยที่ผมเองก็ไม่ค่อยสมัครใจเท่าไรนัก เพราะตอนนั้น คณะที่ผมเรียนกับคณะวิศวะฯ   
นั้นไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไร ) โดยที่เราไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่คำเดียว และต่างคนต่างก็หลับไป   
( ตอนหลังต่างก็ได้มาคุยกันว่าตอนนั้นต่างคนต่างก็กลัวกันเองครับ เค้ากลัวผมผมเองก็กลัวเค้า  
เช่นกัน แต่สถานการณ์บังคับ จึงทำให้ต้องนอนเต็นท์เดียวกัน )   
     คืนนั้นผ่านไปได้โดยปลอดภัยแต่ก็มีเรื่องตื่นเต้นกันนิดหน่อย เพราะประมาณตีสอง ก็มีเสือ   
ตัวหนึ่งเดินเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณที่พัก ซึ่งเจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่า " ชินเสียแล้วละ นี่ยังดีนะ  
บางคืนขนาดกระโดดขึ้นไปเคาะประตูห้องเลยก็ยังมี " แหมฟังแล้วก็น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะครับ   
ตอนเช้าหลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว พวกเราบางส่วนก็ออกเดินสำรวจรอบ ๆ   
หน่วย ฯ เพื่อชมความงามตามธรรมชาติ   
    โดยที่บ้านพักที่พวกผมพักอยู่นั้นโดยรอบจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างไกลไปตัดกับฉากทางด้าน  
หน้าสุดขอบฟ้าที่เป็นภูเขาสูงตระหง่าน ช่างเป็นภาพที่สวยงามมากนัก แถมยังมีภาพของเก้ง กวาง  
ออกมาเดินหากินให้เห็นอีกด้วย ส่วนทางด้านขวาของบ้านก็จะอยู่ใกล้กับลำธารสายเล็ก ๆ น้ำใส  
ไหลเย็นเชียวละครับ แถมยังมีขอนไม้ขนาดใหญ่ล้มพาดลงไปที่กลางลำน้ำเสียอีกด้วย ดังนั้นมัน  
จึงถูกพวกผมยึดเอาเป็นที่นั่งพักผ่อนเสียเลย " เอ้า ! เดี๋ยวจะพาไปดูโป่งกระทิง ใครจะไปบ้าง "  
เสียงพี่นิโคดังมาจากทางด้านหลังของเรา แต่เราก็ยังคงนั่งฟังเฉย ๆ   " เห็นพี่เขาบอกว่าเมื่อ   
2 - 3 วันที่ผ่านมามีกระทิงมาลงด้วยนะ "  คราวนี้ได้ผลครับ พวกเราต่างส่งเสียงร้องถามกัน  
อย่างยินดีที่จะได้เดินไปดูกัน " เอ้า ถ้าอย่างงั้นก็รีบไปเตรียมตัวสิ อย่ามัวชักช้า เร็ว ๆ เข้า "  
เสียงพี่นิโคแกเร่งซ้ำมาอีก เพราะพวกเราก็ยังคงเอ้อระเหยกันอยู่ดี แม้ว่าอยากจะไปดูมากนักก็ตาม   
เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว พี่พิทักษ์ป่าก็พาเราเดินตัดทุ่งหญ้ามุ่งตรงไปสู่ภูเขาเบื้องหน้า เราเดินกันซัก  
เกือบ ๆ ชั่วโมงก็ถึงบริเวณโป่งกระทิง อ้อ ! มาถึงตรงนี้ก็ขออนุญาตอธิบายเรื่องโป่งสักหน่อยก็แล้ว  
กันนะครับ โป่ง เป็นแหล่งอาหารเสริมของสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร โดยจะมีพวกเกลือและ  
โปรแตสเซียม เป็นแร่ธาตุหลัก ผสมอยู่ในดิน ซึ่งนอกจากสัตว์กินพืชจะมากินโป่งแล้วสัตว์กิน  
เนื้อเองก็มักจะมาที่โป่งเหมือนกัน แต่ไม่ได้มารอกินดินโป่งหรอกนะครับ มารอจับสัตว์กินต่างหาก  
ที่โป่งที่เราเดินมาถึงนี่เราได้พบแต่รอยเท้าของกระทิงครับ ซึ่งรอยมันก็เหมือนรอยเท้าวัวทั่ว ๆ   
ไปละครับ แต่ที่แตกต่างกันก็คือขนาดของรอยเท้า กีบแต่ละข้างของมันนี่ขนาดฝ่ามือปิดไม่มิดเลย  
ทีเดียวครับ ซึ่งพี่พิทักษ์ป่าบอกเราว่าเป็นกระทิงโทนขนาดใหญ่มากทีเดียว ถ้าอยากจะเห็นตัวคง  
ต้องนั่งซุ่มกันทั้งวันเชียวละ ซึ่งพวกผมเองก็ไม่มีเวลาขนาดนั้นซะด้วยสิ จึงได้แต่ดูรอยเท้ามัน  
ไปพลาง ๆ ก่อน นอกจากนี้ก็มีรอยเท้าของพวกเก้ง กวาง และสัตว์เล็ก ๆ อื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อดูกันจนเป็นที่พอใจแล้วเราจึงเดินทางกลับมายังที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกจากป่า   
     การเดินทางออกมาคราวนี้ค่อนข้างจะรวดเร็วกว่าตอนเดินเข้าครับ เพราะเราเดินออกมาทางเดิม  
จากหน่วยพิทักษ์ป่าคลองอีเฒ่าแล้วเราก็เดินตรงออกมาทางเส้นทางเดินหอดูสัตว์หนองผักชีแทน  
จึงทำให้ไม่ต้องเดินอ้อมออกไปไกล ซึ่งพอทุกคนได้รู้ก็เริ่มมีเสียงบ่นตามมาอีกเช่นกัน ว่าทำไม  
ไม่พาเดินตั้งแต่ทีแรก บางคนเองก็เบาใจว่าจะได้ไม่ต้องผจญกับทากอีกตลอดเส้นทาง เราหยุดแวะ  
ที่หอดูสัตว์หนองผักชีกัน 1 ชั่วโมง เพราะว่าด้วยความกลัวทากที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในจิตใจ ทำเอา  
เราเร่งเวลาเดินได้เร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ที่หอดูสัตว์หนองผักชีนี้นะครับทางเจ้าหน้าที่เค้ามีขุดโป่ง  
เทียมเอาไว้เพื่อให้สัตว์ป่าลงมากิน และก็ให้เป็นจุดที่จะให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมได้ซึ่งก็มักจะ  
มีพวกเก้ง กวาง ลงมากินส่วนบางครั้งปะเหมาะเคราะห์ดีก็จะได้เห็นเสือออกมาเดินได้เหมือน  
กันครับ เพราะที่นี่เองก็เสือชุมเช่นกัน ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้เดินเข้าหลัง 18.00 น. ไปแล้ว และจะไม่ยอมให้นอนค้างคืนที่นี่ด้วย   
     เมื่อได้นั่งพักผ่อนกันพอหายเหนื่อยกันแล้วเราก็เริ่มออกเดินต่อ โดยทางที่เราเดินกลับเป็นทาง  
เดินที่แสนสบายทีเดียว เพราะเป็นทางดินค่อนข้างกว้าง สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี มีทั้ง  
นกและสัตว์ป่าให้ดูได้บ้าง แล้วแต่ว่าใครจะตาไวขนาดไหน จนอีกซัก 30 นาทีเราก็เดินออกมาถึง  
ปากทางเข้าหอดูสัตว์หนองผักชีจนได้ ส่วนรถตู้ของเรานั้นเค้าก็มารอรับอยู่นานแล้วเหมือนกัน แล้วเราก็ขึ้นรถตู้กลับมาอาบน้ำอาบท่า และก็เดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ 
คนพเจร