เรื่องคราวนี้เป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว
จ.จันทบุรีครับ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อของน้ำตกเขาสอยดาว ก็เมื่อเดือนธันวาคมปี
41 ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งก่อนหน้านั้น ผมได้เคยไปทำค่ายเยาวชนที่นี่มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ
9 ปีก่อน และการไปครั้งนี้
ก็ได้พบการการเปลี่ยนแปลงของที่นี่พอสมควร
ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
น้ำตกที่นี่จัดเป็นน้ำตกที่สูงมากอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยครับ
ซึ่งมีความสูงถึง 16 ชั้นเลย
ทีเดียว เราออกเดินทางกันในวันศุกร์ตอน
2 ทุ่ม โดยรถกะบะติดแค๊ปของน้องคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ขับรถไปด้วยในตัว รวมกับสมาชิกร่วมทางอีก
5 คน รวมทั้งหมดก็ 7 คนพอดี คือ ผู้เขียน นายม่อน นายเอ ( ใหญ่ ) น้องเอ (
เล็ก ) น้องเล็ก น้องจุ๋ม และน้องกุ้ง
การเดินทางไปนั้นก็ไม่ยุ่งยากนักหรอกครับ
ก็ใช้เส้นทางสายบางนา-ตราด ไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงเมืองจันทบุรีแล้วก็ขับต่อไปยังเส้นทางเข้าสู่กิ่งอำเภอสอยดาว
ก็จะพบกับทางแยก เข้าสู้น้ำตกเขาสอยดาวได้ไม่ยากนัก แต่คราวนี้การเดินทางของพวกเรามันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ
เพราะว่าพอเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพปั๊ป ฝนเจ้ากรรมก็เริ่มตกลงมาปรอย ๆ ทันทีเหมือนกัน
และก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย
จากเดิมทีที่เราตั้งใจว่าจะเข้าไปนอนที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวเลยนั้นก็จำเป็นต้อง
เปลี่ยนโปรแกรมกระทันหัน เพราะว่าเราใช้เวลาถึง
5 ชั่วโมงก็ไปถึงเพียงแค่อำเภอแกลงเท่านั้นเอง แถมฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก
จึงต้องหาโรงแรมเล็ก ๆ นอนพักเสียชั่วคราวก่อน จากนั้นตอน
เช้าเราจึงออกเดินทางต่อไป
เช้าวันเสาร์หลังจากที่เช็คเอ้าออกมาแล้ว
เราก็จัดการเรื่องเสบียงและปากท้องของเราด้วยความ
เร่งด่วน เพราะเกรงว่าจะไปถึงที่นั่นสายมากเกินไป
ประมาณ 10 โมงเช้าเราก็ไปถึงยังจุดหมาย แล้วก็ขอเข้าพบรองหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว
เพื่อขออนุญาตพักแรม ( ปกติ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จะห้ามพักค้างคืนครับ
ถ้าหากไม่ได้ขออนุญาตจากกรมป่าไม้มาก่อน ) โดยพวกผมได้ทำเรื่องขอพักแรมจากกรมป่าไม้มาก่อนแล้วเรื่องจึงไม่ยุ่งยากนัก
พวกเราจึงจัด
ของเข้าที่พักและเตรียมตัวเดินป่า
ซึ่งตั้งใจกันไว้ว่าจะเดินขึ้นน้ำตกชั้นสูงสุดให้ได้ แต่เนื่อง
จากว่าพวกเราไปกันสายพอสมควร จึงไม่สามารถที่จะหาเจ้าหน้าที่นำทางในการเดินป่าได้
พวกเราจึงตกลงใจกันว่าจะเดินเอง ( จริง ๆ แล้วมีผมกับน้องคนขับรถเคยเดิน ป่าเส้นทางนี้
มาก่อนแล้ว จึงค่อนข้างทนงตัวว่าจำทางได้
) พวกเราจึงขอดูแผนที่เส้ทางเดินป่า พร้อมกับ
คำแนะนำในการเดินทางว่าควรจะต้องเดินทางไหน
ข้ามน้ำตรงไหน จนพอใจแล้วจึงเริ่ม
ออกเดินทางกัน
จากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ
เราต้องขับรถขึ้นไปอีก 3 กม. จึงจะถึงทางเข้าน้ำตกครับ วันนั้นน้ำไหลแรงมาก
ใสเย็นเอาเรื่องทีเดียว น่าลงไปเล่นตั้งแต่แรกเห็นเสียแล้ว แต่พวกเราก็อดใจคาดโทษกันไว้ก่อนว่า
หลังจากเดินป่าเสร็จเราจะกลับมาเล่นน้ำเป็นการ
แก้แค้นแน่นอน เส้นทางเดินป่าที่นี่จะเดินเลียบน้ำตกไปเรื่อย
ๆ ครับ แต่ก็ไม่ชิดน้ำตกมากนัก ยกเว้นในช่วงแรก ๆ ทางเดินก็ไต่สูงขึ้นไปตามภูเขา
สองข้างทางก็เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ เห็ดป่าสีสดใส ดอกเอื้องบางชนิดที่ยังบานอยู่บนคาคบไม้
ซึ่งก็ทำให้เราเพลิดเพลินลืมเหนื่อย
ไปได้เหมือนกัน จนกระทั่งมาถึงน้ำตกชั้นที่
5 ตรงนี้จะเป็นผาหินขนาดใหญ่มากเทลาดประมาณ 30 องศา มีน้ำไหลลงมาพอสมควร ข้างล่างเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่
แต่ก็ยังมีที่ว่างพอสำหรับ
ที่จะให้เดินขึ้นไปได้ ตรงจุดนี้มักจะมีนักท่องเที่ยวมาเล่นสไลด์เดอร์กัน
ซึ่งจริง ๆ แล้วอันตรายมาก จึงทำให้มักจะมีผู้เสียชีวิตที่นี่ทุกปี เพราะความประมาทว่าไม่น่าจะอันตรายนัก
จากจุดนี้เราก็เริ่มเดินเข้าป่ากันอีกครั้งแต่เส้นทางคราวนี้จะเริ่มแยกออกมาจากสายน้ำตกนิด
หน่อยเพื่อจะได้ไม่ต้องไต่ที่สูงมากนัก
จากทางเดินระหว่างน้ำตกชั้นที่ 6 - 7 นั้น บางสิ่ง
บางอย่างที่เราเห็น มันทำให้เราประหลาดใจมาก
ๆ ว่า มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หึ หึ หึ คงจะนึก
ไม่ออกกันสินะครับว่ามันคืออะไร
ส้วม ครับ เศษทรากของสิ่งที่บ่งบอกว่ามันเคยใช้เป็นส้วม
มาก่อน มีทั้งชักโครกและแบบคอห่าน
พร้อมกับเศษผ้าที่ใช้บัง ครับ พวกเราต่างก็ยืนงงกันว่า ใครหนอ ช่างวิริยะขึ้นมาสร้างไว้ถึงบนนี้
เข้าในว่าคงเป็นผู้ใจดีที่มาสร้างเอาไว้ให้สัตว์ป่าใช้งานเป็นแน่แท้ แต่ตัวมันคงจะหนักไป
สักหน่อย จึงได้ทำมันแตกเสียหายแบบนี้
แหม น่าจับมาตีก้นนักเชียว พอมาถึง ชั้นที่ 7
ตรงจุดนี้จะต้องเดินข้ามลำน้ำไปอีกฝั่งหนึ่งก่อน
ถ้าหากว่าต้องการจะเดินขึ้นไปให้ถึงชั้นสูงสุด แต่บังเอิญว่า ผมในฐานะผู้นำทางจำเป็น
จำผิดครับ ดันจำได้แค่ว่าจะต้องข้างลำน้ำตกที่ชั้น 9 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
จึงทำให้ไม่ได้เดินข้ามไป และก็พอดีกับว่าเห็นเส้นทางเดินยังมีอยู่อีก
จึงเดินตามทางไปเรื่อย ๆ จนไปถึงชั้นที่
8 น้ำตกตรงชั้นที่ 8 นั้น ตกลงมาแรงมากครับและก็มอง
ขึ้นไปบนหน้าผาก็จะเห็นว่า เป็นน้ำตกชั้นที่
9 ไหลตกลงมาก่อน ปะทะกับก้อนหินขนาด
มหึมาแล้วจึงไหลตกลงมาเป็นชั้นที่
8 อีกทีหนึ่ง ด้วยคามสวยงามของน้ำตกรวมกับความเหนื่อยล้า
และหิวโหย เราจึงพักทานอาหารกลางวันกันที่นี่
ซึ่งก็เป็นเวลาบ่ายพอสมควรแล้ว อาหารของ
เราก็คือ ไก่ย่างกับข้าวเหนียว
ซึ่งพกพาได้ง่าย สะดวกและอร่อย ใครไม่เคยก็น่าไปลองดูนะครับ แล้วจะติดใจ จากน้ำตกชั้น
8 เมื่อมองเห็นชั้นที่ 9 อยู่เพียงแค่เอื้อมก็ทำให้เรามีกำลังใจ
ขึ้นอีกโขทีเดียว แต่จากตรงนี้เอง
เราก็เริ่มจะสับสนเพราะไปพบกับทางแยกเข้า
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าจะลองเดินไปทางซ้ายก่อนก็แล้วกัน
ถ้าไม่ชอบมาพากลก็ค่อยเดิน
ย้อนกลับ แล้วก็จริง ๆ ละครับ
เพราะทางนี้มันทำท่าว่าจะเดินลงเขาเรื่อย ๆ พวกเราจึงต้องเดิน
ย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้ง คราวนี้เราก็เลือกเดินทางที่แยกมาด้านขวาบ้าง
เดินมาสักพัก
ก็พบกับป้ายบอกทางไปน้ำตก ทำให้เราใจชื้นขึ้นมากทีเดียว
แต่ยังครับ เดินมาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ อ้าว ! ทางเดินที่เคยเห็นมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ก็มีทางเล็ก ๆ แยกเดินขึ้นไปบนเขาซึ่ง
เต็มไปด้วยต้นไผ่และสูงชันมากทีเดียว
แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เราระแวงนักเพราะคิดว่า ทางคงจะ
ตัดขึ้นเขาละน่า ทางข้างหน้าจึงหายไป
แล้วเราก็เดินตามทางนั้นขึ้นไปครับ มันสูงขึ้นเรื่อย ๆ และก็ชันขึ้นเรื่อย
ๆ เหมือนกัน และในไม่นานฝนเจ้ากรรมที่หยุดตกไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
ก็ดันตกลงมาเสียอีก และก็ทำทีว่าจะตกหนักมากว่าที่จะตกเพียงปรอย
ๆ เสียแล้ว พวกเราจึงมอง
หน้ากันเป็นทำนองว่า จะเอาอย่างไรดี
แล้วก็มีข้อสรุปครับ นั่นก็คือกลับก็ได้ว่ะ
ในเมื่อฟ้าฝนและเส้นทางไม่เป็นใจ
( ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าเดินมาผิดทางตั้งแต่น้ำตกชั้น 6 แล้ว ) จึงเดินฝ่าสายฝนลงมากันจากบนเขา
พวกสาว ๆ ก็พากันล้มลุกคลุกคลานกันตามสมควร เพราะทางดินเมื่อโดนน้ำมันก็จะลื่นมาก
แถมยังต้องไต่ลงจากเขาเสียอีก จนในบางครั้งถึงกับต้อง
เอาก้นไถลงมากับพื้นเลยก็มี โดยเฉพาะน้องเอ
( เล็ก ) นั้น เธอไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้น ตั้งหน้าตั้งตา
เอาก้นไถลลงอย่างเดียว แถมยังขว้างรองเท้าลงมารอข้างล่างให้เพื่อนเก็บให้เสียอีกแหนะ
แล้วก็นะครับกับเธอคนนี้เนี่ยนะ
เวลาเข้าป่าด้วยกันทีไรเป็นต้องเจอฝนทุกทีซิ แล้วก็ตกแบบไม่
ธรรมดาด้วยนะครับ คือตกมาหนัก
ๆ แล้วก็หยุดหายไปซักพัก แล้วก็ตกลงมาใหม่อีก อย่างนี้น่า
จะให้ไปอยู่ภาคอีสานเสียจริง ๆ
จนเมื่อเราเดินกลับลงมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว ฝนก็หยุดตกเอาดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ
ทำเอาเราเจ็บใจอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ไหน ๆ ก็เปียกปอนกันมาแล้ว เราก็มา
ระบายความแค้นเอากับสายน้ำอันชุ่มฉ่ำที่ชั้นล่างแทนเสียเลย
รวมทั้งทำความสะอาดคราบดิน
ที่เกาะติดมาตั้งแต่บนเขาออกเสียด้วย
แต่อากาศที่เย็นพอสมควรบวกกับความเย็นฉ่ำของสายน้ำทำให้เราเล่นน้ำได้ไม่นานนัก
จึงต้องรีบขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าซะก่อนที่หวัดจะถามหา พอซักสี่โมงกว่า ๆ เราก็มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ
กันอยู่ที่ร้านอาหารสวัสดิการ
เพื่อสั่งอาหารกินกัน ตกดึกเราก็มานั่งคุยกับพี่เจ้าหน้าที่เรื่องเส้น
ทางเดินป่าวันนี้ ซักถามข้อสงสัยกันจนได้รู้ว่าจริง
ๆ แล้วจะต้องเดินข้ามน้ำตกชั้นที่ 6 ไปก่อนแล้ว
เดินอ้อมเขาขึ้นไปท้างด้านซ้ายมือเรื่อย
ๆ จะง่ายกว่า ส่วนทางที่เราเดินขึ้นไปนั้นเป็นเส้นทางเก่า
ที่ไม่ใช้แล้ว และก็มักจะมีคนหลงเดินอยู่บ้างเหมือนกัน
จึงยังเห็นเป็นทางเดินอยู่ พวกเราจึงถึง
บางอ้อกันตรงนี้เอง
จากนั้นเราก็คุยกับพี่เจ้าหน้าที่เพื่อหาลู่ทางสำหรับจะไปเดินป่ากันพรุ่งนี้กันอีกซักพัก
พี่เจ้าหน้าที่จึงขอตัวไปนอน หลังจากปรึกษาหารือกันเสร็จต่างคนก็ต่างยังไม่ง่วงนอนนัก
แม้จะเหนื่อยมาทั้งวันแล้วก็ตาม ก็เลยยังนั่งคุยกันต่ออีกพักใหญ่ โดยมีผม
นายเอ นายม่อน เป็นองปาฐกจำเป็น โดยมีน้องจุ๋มทำหน้าที่เลขา ฯ คือฟังอย่างเดียวครับ
ไม่พูดไม่จา ฟังอย่างเดียวจริง ๆ ยกเว้นว่าจะถูกถามแบบตรงตัว จริง ๆ จึงจะตอบมาสักครั้งหนึ่ง
ส่วนน้องกุ้งกับน้องเอนั้น หายห่วงครับ แม้เวลากินเธอยังพูดได้เรื่อย ๆ เลย
เช้าวันอาทิตย์
หลังจากที่เราทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว และก็แบบเดิมนะละครับ คือไม่มีคนนำทางอีกแล้ว
คราวนี้พวกผมจึงสอบถามทางกันอย่างละเอียดยิบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จึงเริ่มออกเดินทาง
เส้นทางเดินป่าคราวนี้เดินง่ายมากครับ เห็นทางเดินชัดเจนตามที่พี่เค้าบอก
มาทีเดียว แถมยังมีป้ายปักบอกจุดที่น่าสนใจในเส้นทางเดินป่าอีกสิบกว่าจุด
แต่ละจุดก็ห่างกัน
เพียงแค่เดินไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้น
ซึ่งเราก็แวะดูและพูดคุยเพื่อเสริมความรู้ให้แก่กันเองอีกด้วย คือใครรู้อะไรก็นำมาเล่าสู่กันฟังนะละครับ
อย่างเช่น เรื่องของต้นไทร ซึ่งมีบางคนให้ฉายา
เค้าว่าเป็น นักบุญแห่งป่าหรือเพชรฆาตเลือดเย็นบ้างละ
ทำไมนะหรือครับ ก็เพราะเค้าจะออกลูก
ไม่พร้อมกันทั้งป่า แต่ลูกไทรจะสุกเพียงบางต้นหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป
ทำให้สัตว์ป่ามีลูกไทร
กินกันทั้งปี ส่วนที่เรียกกันว่า
เพชรฆาตเลือดเย็น นั้นก็คือต้นไทรนั้นจะขึ้นโตต้นไม้อื่นไงละครับ แล้วหลังจากนั้นมันจะทิ้งรากของเค้าลงมาหากินบนดินจนเมื่อรากของเค้าปรกคลุมลงมามาก
ๆ เข้า ต้นแม่ก็จะไม่สามารถขยายลำต้นของเค้าออกมาได้ แถมยังพุ่มใบของไทรนั้นก็ยังขึ้นไปสูงกว่า
ของต้นแม่เสียอีก คราวนี้นอกจากต้นแม่จะโตไม่ได้แล้วยังโดนแย่งแสงแดดไปอีก
ในไม่ช้า
ไม่นานก็ต้องถึงคราวดับขันธ์นะสิครับ
แล้วก็รู้ไหมครับว่าไทรนั้นใช้สัตว์ชนิดใดในการช่วย
ผสมเกสร เฉลยเลยก็แล้วกันนะครับ
ก็ต่อไทรนะสิครับ
ต่อไทรเป็นแมลงขนาดเล็กชนิดหนึ่งซึ่งเล็กมาก
ๆ ขนาดประมาณ 1 ม.ม. เท่านั้นเอง โดยภายในดอกไทรนั้น ต่อไทรตัวเมียจะนอนรอตัวผู้ซึ่งตะต้องตะเกียดตะกายเข้ามาทางรูเล็ก
ๆ ของดอกไทรเพื่อเข้ามาผสมพันธ์กับตัวเมีย แต่ระหว่างที่เค้าคลานเข้ามานั้นก็เป็นการช่วย
ดอกไทรผสมเกษรไปด้วยในตัว หลังจากที่ต่อไทรผสมพันธ์กันแล้วตัวผู้ก็จะตายและตัวเมีย
ก็จะออกวางไข่ภายในดอกไทรนั้นเอง
จนเมื่อไทรสุก ไข่ของต่อไทรก็ฟักเป็นตัวหนอนไปพร้อม ๆ กันไงละครับ ดังนั้นคนที่ชอบกินมะเดื่อจึงจะพบว่าภายในมะเดื่อมักจะหนอนอยู่ด้วย
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีรูหนอนเจาะข้างนอกเลย ก็ด้วยเหตุผลและวิธีการเดียวกันกับไทรนะละครับ
เพราะมันเป็นพืชตระกูลเดียวกันนี่เอง เฮ่อ ! พูดมากมาตั้งนาน กลับมาที่ทางเดินต่อดีกว่านะครับ
สองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ทั้งไม้หอมหรือต้นกฤษณา ต้นเดียวกับที่เค้าเอามาทำยากฤษณากลั่นนั้นละครับ
ต้นหวาย กระวาน เร้ว และอีกมากมาย รวมทั้งเห็ดนานาชนิด รวมทั้งสัตว์ป่าอีกด้วยนะครับ
อ๊ะ อะ อยากรูละสิครับ ก็เป็นเต่าป่าชนิดหนึ่ง ปูน้ำตกและก็งูไม่รู้ชนิดอีกอย่างละตัว
แหม ! คงกำลังนึกสับผมอยู่ในใจละสิครับ ว่าเจอแค่นี้ทำมาคุย อยากจะบอกว่าในป่าถ้าเราไม่เจอสัตว์เล็ก
ๆ เลยละก็ สัตว์ใหญ่ก็อย่าหวังว่าจะไปเจอมันได้ เพราะอะไรนะหรือครับ เพราะสัตว์เล็ก
ๆ นั้น นอกจากจะเป็นเหยื่อของสัตว์ที่ใหญ่กว่าแล้ว การที่จะถูกล่าทั้งจากคนและสัตว์ด้วยกันก็มีมากกว่า
ดังนั้นก็เหมือนกับว่าถ้าไม่มีอาหารก็จะไม่มีผูหาอาหารยังไงเล่าครับ
ตลอดทางนั้นนอกจะพูดคุยเรื่องความรู้กันแล้ก็มีแวะถ่ายรูปกันบ้างตลอดทาง
จนเวลาผ่าน
ไปสองชั่วโมงกว่า ๆ เราก็ออกมาถึงจนสุดเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติได้
ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบ
เที่ยงเข้าไปแล้ว เราจึงแวะที่ร้านค้าสวัสดิการอีกครั้ง
เพื่อทานอาหารกลางวันกันก่อนที่จะ
กลับกรุงเทพกัน จริง ๆ แล้วก่อนที่จะกลับนั้นเราตั้งใจกันเอาไว้ว่าจะแวะที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์
ป่าเขาสอยดาวใต้ก่อน เพราะที่นั่นเป็นสถานที่เพาะพันธุ์สัตว์ป่าด้วย
ซึ่งมีทั้ง เลียงผา กระทิง ไก่ฟ้านานาชนิด กวาง ฯลฯ แต่ในที่สุดเราก็ไม่ได้แวะเข้าไปดู
เพราะว่ากว่าที่เราจะออกมา
จากเขาสอยดาวได้ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว
จึงตรงกลับกรุงเทพกันเลย
ในตอนขากลับนี้บังเอิญว่าเราอยากจะลองเส้นทางใหม่
จึงไม่ขับรถกลับทางเดิม แต่กลับมุ่งตรง
ขึ้นมาทางจังหวัดสระแก้ว เพื่อมาออกที่แยกกบินทร์บุรี
แล้วกลับมาทางจังหวัดปราจีนบุรี แต่ด้วย
ความที่ไม่ชำนาญทางกันนัก จึงกลายมาเป็นว่าโผล่มาออกที่จังหวัดฉะเชิงเทราแทนซะนี่
ก็สนุก
สนานไปอีกแบบละครับ แต่ในที่สุดเราก็ถึงกรุงเทพกันโดยสวัสดิภาพ
|