หากจะเปรียบมิตรภาพดั่งดอกไม้
ดอกไม้ดอกนี้คงเป็นดอกไม้ที่งอกงามได้ในทุกหนทุกแห่ง
ไม่ต้องรอฤดูกาลแห่งการงอกเงย มันขึ้นอยู่ที่คุณแล้วนะ
ว่าจะค้นหาดอกไม้แห่งมิตรภาพ ดอกนี้หรือไม่ ?
ที่หนองผักชี จุดสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้
ฉันมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นมาเป็น 9 คน จากเดิมที่
น่าจะเป็นฉันเพียงลำพัง พี่อ๋อง พี่บอย ที่พบกันและร่วมเดินทางมาจากป่าหินงาม
จ. ชัยภูมิ พี่เอ (สุระ) พี่เอ (นรินทร์) ซึ่งมาพร้อมกับคริสติน่าและดีน่า
( สาวชาวเดนมาร์ก ) ทากุ เคนจิ ( หนุ่มชาวญี่ปุ่น ) และที่เห็นจะลืมเสียไม่ได้
คือ ดาวเพื่อนสาวของฉันที่เกือบไม่ได้มากับฉันเพราะท้องเสีย การเดินทางทริปนี้นับว่าเป็นการเดินทางที่สนุกมากทริปหนึ่ง
วันที่ 6 ก.ค. 2541 เวลา 05.20 น. คือกำหนดเวลาที่ฉันนัดกับเพื่อน
ๆ ในคณะไว้ตามนัดแล้วเราต้องมาพบกันที่ บขส. 2 จ.
นครราชสีมา เพื่อออกเดินทางไปยังทริปที่ตกลงกันไว้
นั่นก็คืออุทยานแห่งชาติป่าหินงามและภูเขียว จ. ชัยภูมิ
แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาที่รถจะออก ก็ยังมีเพียงฉันกับดาว
ฉันไม่แปลกใจหรอกว่า ทำไม? เพราะฉันเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่า
เพื่อน ๆ ที่ไม่มาคงกำลังนอนสลบไสลด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
เนื่องจากมีงาน " Freshy Night " ที่ทางมหาวิทยาลัย
จัดขึ้นโดยมีคนดังอย่างฝันดีฝันเด่นมาร่วมแจม
ฉันเองก็ไปร่วมงาน แต่ถึงจะอย่างไรความตั้งใจของฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยน
แปลงแม้ว่าค่ำคืนนั้นจะมีฉันเพียงคนเดียวก็ตาม
เวลา 8.00 น. ฉันกับดาวเดินทางมาถึงปากทางเข้าที่ทำการอุทยานฯ
ป่าหินงามซึ่งต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างต่อเข้าไป
อีกประมาณ 14 กิโลเมตร จึงจะถึง ณ ที่ทำการอุทยานฯ
ค่าโดยสารจำได้ว่าคนละ 100 บาท ความจริงฉันตั้งใจจะโบกรถ
เข้าไปมากกว่าแต่สงสารเพื่อนจึงแล้วแต่เพื่อนอากาศยามเช้าวันนี้เย็นสบายเหลือเกิน
ฉันอดที่จะรู้สึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า " นี่แหละน๊า คนมีบุญมาเที่ยวทั้งที
อากาศก็ไม่ร้อน ท้องฟ้าก็พลอยสดใส " สายลมโชยอ่อนพัดมากระทบใบหน้าอุ่น ๆ ของฉัน
ตลอดเส้นทางขึ้นเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวขจีของพืชไร่นานาชนิดที่ชาวนาบรรจงปลูกเพื่อประกอบสัมมาอาชีพ
ภาพความประทับใจต่าง ๆ ที่ฉันพบเห็นนั้น มันทำให้ฉันนั่งยิ้มได้ตลอดทาง
หัวใจของฉันพองโตจนแทบจะทะลักออกมา
มันคงอยากจะออกมาสูดอากาศบริสุทธ์ ในเช้าวันหยุดที่แสนจะสดใสและงดงามวันนี้เหมือนกันเมื่อฉันก้าวเท้าลงจาก
รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่หยุดจอด เพื่อบอกว่าถึงจุดหมายปลายทางของฉันแล้ว
ฉันยืนตะลึงเพราะภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
นั้นถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอก จนทำให้ฉันมองเห็นวิสัยทัศน์ได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก
ฉันฝันไปหรือนี่ ? นั่นคือคำถามแรก
ที่ผุดขึ้นเต็มไปหมดเมื่อฉันไปถึงจุดหมาย
ฉันกับดาวติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องที่พักที่กางเต็นท์
ต่อจากนั้นเราจึงเดินเที่ยวชมธรรมชาติในป่าหินงาม ทุ่งดอกกระเจียวและ
จุดชมวิวสุดแผ่นดิน ภาพของทุ่งดอกกระเจียวหรือทุ่งบัวสวรรค์ที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางสายหมอก
นับเป็นภาพแรกในชีวิต
ของฉันก็ว่าได้ที่ได้มาสัมผัสด้วยตนเอง ฉันเชื่อแล้วหละว่า
สวิตเซอร์แลนด์ในเมืองไทยมีจริงๆ อย่างที่คนเขาล่ำลือกัน และฉันก็เชื่อยิ่ง
นักกับคำพูดที่ว่า " สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าได้มาสัมผัส
"
เมื่อตะวันคล้อยต่ำลง นกกาก็เริ่มบินกลับรัง ฉันกับดาวก็คงต้องกลับเข้าที่พักเช่นกัน
เต็นท์ของฉันสีแดงสดตั้งกลางเนินเขา
ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของป่าหินงามแห่งนี้ได้โดยรอบ
เรานั่งสนทนากันถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
พร้อมกับกินขนมปังทาแยมสัปรดอันหวานฉ่ำที่ไม่เคยรู้สึกว่าทานที่ใดจะได้รสชาติเหมือนที่แห่งนี้
ณ ค่ำคืนนั้น สายลมแห่งขุนเขาได้พัดพาเสียงหัวเราะของสองเราไปไกลโพ้น หากเพื่อน
ๆ ที่ไม่ได้มาด้วยได้ยินเข้าคงอิจฉาพวกเราไม่เบา
ฉันอยากให้สายลมช่วยพัดพาเสียงหัวเราะของฉัน
ส่งไปยังเจ้ากระต่ายน้อยที่กำลังแอบเฝ้ามองฉัน อย่างอดอิจฉาฉันไม่ได้ ฉันอดที่จะนั่งอมยิ้มไม่ได้ทุกทีที่แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วเห็นจันทร์กระจ่าง
ภายในมีกระต่ายน้อยนั่งไขว่ห้างอยู่ ทำไมน๊า? ค่ำคืนนี้ถึงทำให้ฉันหวนนึกถึงค่ำคืนเก่าๆ
ในวัยเด็ก แม้มันจะเป็นเพียงค่ำคืนที่เนิ่นนานมาแล้ว หากแต่ภาพ
ความทรงจำเหล่านั้นยังคงเด่นชัดอยู่กลางใจฉันเสมอ
เพราะค่ำคืนเหล่านั่นมีทั้งความสุข ความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ
ระหว่างฉันกับพ่อ ฉันมักจะถามคำถามที่ทำให้พ่อหัวเราะดังๆ
ได้เสมอๆ
" ดวงดาวจ๋า ช่วยบอกฉันทีซิว่าเจ้ากระต่ายน้อยขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ได้อย่างไร
? "
" พ่อจ๋า ทำไมดวงจันทร์ถึงวิ่งตามรถของเราหละจ้ะพ่อ"
ยามค่ำคืนคราใดที่ฉันแหงนหน้าเหม่อมองฟ้า ฉันอดไม่ได้ทุกทีที่จะจินตนาการเรื่องราวรอบกายเพื่อคลายความเหงาลง
ได้บ้างในบางครา
อาทิตย์ดับลับฟ้ามืดมิด ดำสนิททุกอณูบนภูเขามองหมู่มวลแมกไม้ใกล้ตัวเรา
มันเป็นเงาโบกสะบัด
พัดไปมาเมื่อลมหนาวพัดโชยโบยระรื่น หอมชวนชื่นกลิ่นสุคนธ์บนภูผา
คงไม่มากคนนักได้พัดพา ท่องพนาขุนเขาลำเนาไพร
แหงนมองฟ้าก็พบดาวพราวระยับ อยู่ลิบลับแสนไกลในเวหา
เหมือนตัวข้าที่ห่างเจ้าแสนเศร้าอุราหลายทิวาไม่ได้พบ
ประสบเจ้าเลย เสียงเก้งกวางกู่ร้องก้องหาคู่
ฉันหดหู่ในหัวใจใคร่ถวิล คิดถึงเจ้าแพรวตาเป็นอาจิณ อยากได้ยินเสียงเจ้า
เท่ากวางไพรในยามนี้มีแต่ไฟช่วยไล่หนาว ไม่มีเจ้าตระกองกอดพรอดคำหวาน
คงอิจฉาเก้งกวางไปอีกนาน อวสานนอน
ดีกว่าก่อนด่ากวางเช้าวันที่สายฝนโปรยปราย (
7 กรกฎาคม 2541)
อรุณสวัสดิ์ สำหรับเช้าวันที่สายฝนโปรยปราย วันนี้ฉันยังคงนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์
หลบฝนอยู่ใต้ชายคาศาลาบนเนินเขา
ฉันกำลังซึมซับกลิ่นหอมกรุ่นจากพื้นพสุธายามแรกฝน
ส่วนดาวเพื่อนของฉันยังคงนอนขดอยู่ภายในเต็นท์ ฉันนั่งฟัง
ซาวด์เบ๊าว์ ฟังเพลงเศร้าๆ ของนิโคล ( นักร้องที่ฉันกรี๊ดสุดๆ
) แล้วจึงลองหมุนคลื่นไปฟังข่าวบ้านการเมืองดูบ้าง เช้าวันนี้ข่าวเศรษฐกิจยังคงวุ่นวายสับสนอย่างเคย
แต่ฉันไม่ได้ซีเรียสตามข่าวคราวที่ฟังแต่อย่างไร เพราะบรรยากาศที่นี่ทำ
ให้ฉันลืมเรื่องทุกเรื่องที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย
รู้สึกท้อ ไปได้อย่างสบายๆ
สายลมโชยอ่อนพัดพาละอองฝนมากระทบผิวกายของฉัน
ฉันสามารถรับรู้ได้ถึงความเย็น ใบหน้าอุ่นๆ ของฉันหมอบลง
ซุกซ่อนอยู่กับผ้านุ่มๆ ผืนน้อย สองแขนของฉันถูกปกคลุมด้วยผ้านุ่มๆ
ผืนนั้นอีกครั้ง
เสียงเพลงที่ขับกล่อมฉันอยู่ตอนนี้
คือ เพลงอยากให้รู้ว่าเหงาของพี่เจ เจตริน ถ้าถามว่า
ฉันเหงาบ้างมั๊ย?
ไม่เลย ฉันไม่เหงาเพราะฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่
คนเดียวบนโลกใบนี้ เพลงแต่
เวลานี้ ฉันกำลังอยู่ในโลกส่วนตัวของฉัน
ก็เท่านั้นเอง
ฉันนั่งหมอบแล้วหลับตา พลันนึกจินตนาการไปว่า
ฉันเป็นนางฟ้าแสนสวยที่กำลังนั่งชมทัศนียภาพอันงดงามบนสรวง
สวรรค์แห่งนี้
" น้องทานข้าวด้วยกันมั๊ยครับ" เสียงนั้นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วตื่นจากฝันเพื่อมองหาเจ้าของเสียงและฉันก็ได้พบกับ
ผู้ขายวัยกลางคน ไว้หนวด ไว้เครา ผมยาวปกไหล่คนหนึ่ง
ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเขาเหลือเกิน แต่ไม่แน่ใจว่าเคยพบที่ไหน ความรู้สึกของฉันเหมือนกับคนคุ้นเคยกันมานาน
" ไม่คะ ขอบคุณมากนะคะ" ฉันตอบแสดงความขอบคุณด้วยใจจริง
" น้องค้างกี่คืนครับ" ชายผู้นั้นถาม
" คืนเดียวคะ วันนี้จะไปภูเขียวต่อ รอให้เพื่อนตื่นก่อน"
จากนั้นจึงได้สนทนากันยาวและได้ความว่า
ชายวัยกลางคนผู้นี้ที่
ฉันคุ้นหน้าเป็นหนักหนาชื่อ พี่อ๋อง วรวุฒิ วีระชิงไชย
หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสาร Photo & Life Exposure นิตยสารเกี่ยวกับการถ่ายภาพ
ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสาร PHOTONEWS นิตยสาร
ข่าวความเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ถ่ายภาพและวงการถ่ายภาพ
ที่ฉันเคยได้อ่านนี่เอง ไม่นึกเลยว่าจะได้มีโอกาสมาพบ
ตัวจริง ณ ป่าหินงามแห่งนี้ พี่อ๋องเดินทางมากับผู้ชายวัย
24 ปีอีกคน ก็คือ พี่บอย ภราดร หนุ่มวิศวกรไฟแรง ผู้ที่รักการถ่ายภาพ
และการดูนกเป็นชีวิตจิตใจ พี่บอยเล่าว่ารู้จักกับพี่อ๋องเพราะติดตามงานเขียนของพี่อ๋องมา
4-5 ปี เมื่อพี่อ๋องจัดให้มีการรวมตัว
นักถ่ายภาพ พี่บอยจึงไม่ยอมพลาดที่จะมาทำความรู้จักกับนักเขียนที่ตนชื่นชอบ
จึงทำให้รู้จักกันตั้งแต่ครานั้น บัดนี้จึงโทร
ชวนกันเที่ยวในเวลาที่ว่างพร้อมๆ กัน เสมอๆ
พี่อ๋องแนะนำฉันว่า ถ้าหากจะขึ้นภูเขียวหน้าฝนแบบนี้
จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นรับรองได้เลยว่า ฉันต้องไปเก้อแน่นอน
ฉันจึงเริ่มไม่ค่อยแน่ใจกับแผนการเดินทางที่วางเอาไว้
เช้านี้พี่ๆ ทั้งสองคนจะไปเก็บภาพ " ดอกไม้บานกลางสายหมอก"
ฉันจึงขอติดสอยห้อยตามไปด้วยคน ฉันปลุกดาวเพื่อน
ของฉัน แต่ดาวขอตัวนอนต่อเพราะอากาศยามเข้านี้หนาวเหลือเกิน
ฉันจึงไปกับพี่ๆ ตามลำพัง ถ้าถามว่าฉันกลัวมํ๊ยที่ไปกับ
คนแปลกหน้าตามลำพัง ? ไม่หรอกนั่นคือคำตอบ เพราะฉันเชื่อเหลือเกินว่าอะไรจะเกิดมันก็เกิด
ทุกอย่างได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ฉันเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
ฉันได้ประสบการณ์และความรู้หลากหลายจากพี่ๆ ทั้งสอง
พี่ๆ สอนทิคนิคใหม่ๆ ในการถ่ายภาพ และให้ฉันได้มีโอกาส
ใช้เลนส์ขนาดต่างๆ ที่ฉันไม่เคยได้ใช้มาก่อน
ฉันรู้สึกสนุกและมีความสุขมาก ที่ได้มีโอกาสมาเดินเที่ยวชมธรรมชาติกับพี่
ๆ ทั้งสองท่านนี้ ระหว่างทางฉันและพี่ๆ ช่วยกันเก็บขยะที่คนมักง่ายบางคนได้ทิ้งไว้
ฉันรู้สึกภูมิใจเป็นที่สุดที่ฉันไม่ได้เป็น
หนึ่งในจำนวนคนมักง่ายพวกนั้น
ฉันกลับมาที่เต็นท์แล้วปลุกดาวจัดเก็บของเพื่อเดินทางต่อ
แต่ฉันเปลี่ยนโปรแกรมการเดินทาง จากภูเขียวไปขึ้นเขาใหญ่แทน ตามคำชวนของพี่ๆ
ทั้งสอง
พวกเราโบกรถออกจากป่าหินงามเวลาประมาณ 11.00 น.
โดยมีเส้นทางการเดินรถดังนี้ อ. เทพสถิต ลำสนธิ แยกเขาน้อย
ปากช่อง ( นครราชสีมา) มวกเหล็ก (สระบุรี) บ้านหลักท่าพลู
(ลพบุรี) เขาใหญ่ (จุดหมาย)
พวกเราเดินทางถึงเขาใหญ่ราว ๆ บ่าย 3 โมง เมื่อถึงที่ทำการก็ติดต่อเจ้าหน้าที่
จัดแจงเรื่องที่พัก พวกเราได้พักที่บ้านพัก
ค่ายเยาวชน 2.2 ฉันตั้งใจจะพักสักสองคืน หลังจากจัดการเรื่องที่พักเสร็จ
พี่อ๋องก็พาพวกเราไปทานข้าวและพาไปแนะนำ
ให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่และบรรดาแม่ค้า ทุกๆ
คนดูคุ้นเคยกับพี่อ๋องเป็นอย่างดี
เมื่อท้องอิ่ม กองทัพก็เริ่มออกเดินทาง แม่ทัพอย่างพี่อ๋องนำทางพวกเราไปยังค่ายพักเยาวชน
พวกเราจัดการเก็บของเข้าที่พัก ต่อจากนั้นพี่อ๋องก็พาพวกเราเดินชมธรรมชาติยามเย็นของเขาใหญ่
พี่อ๋องเปรียบเสมือนไกด์พาพวกเราทัวร์เขาใหญ่ อธิบายและบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ
ให้พวกเราฟัง ให้ความรู้มากมายในสิ่งที่ฉันและดาวไม่เคยรู้มาก่อน ฉันก็เพิ่งจะรู้
เดี๋ยวนี้เองว่า ความจริงแล้วฉันนั้นยังเด็กนักเมื่อเทียบกับพี่ๆ
ทั้งสอง ยังมีอะไรต่อมิอะไรมากมายนักที่ฉันจะต้องเรียนรู้ ต่อสู้ และแก้ไขปัญหาด้วยตัวของฉันเอง
ในขณะที่เดินตามทางไปเรื่อยๆ นั้น ฉันได้พบสัตว์หลายชนิดอาทิ
เก้ง กวาง ผีเสื้อ นกนานาชนิด ชะนีมือขาวที่กำลังห้อย
โหนอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงลิบ แต่ที่ฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดเมื่อได้เห็นก็คือ
เจ้าตัวดำ ๆ สองตัว ที่มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ มาแต่ไกล
ตะวันก็พลบค่ำเต็มที พี่อ๋องบอกให้พวกเราเงียบๆ
แล้วค่อยๆ ย่องเพราะกลัวเจ้าเงาตะคุ่มๆ นั้นจะหนีเข้าป่าไปเสียก่อน
พอพวกเราเข้าไปประชิดตัวเจ้าของเงาตะคุ่มๆ นั้นก็คือ
ลูกหมีที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดูนั่นเองสำหรับการประจัญหน้าครั้งแรก
กับเจ้าลูกหมีคู่นี้ ฉันรู้สึกเป็นมิตรเหลือเกิน
ฉันอดที่จะลูบหัวเจ้าหมีน้อยไม่ได้ ราวกับว่ามันเป็นลูกสุนัขที่ฉันเคยหยอกล้อ
แต่พี่อ๋องบอกให้ฉันระวังเพราะหมีมือหนัก พี่อ๋องพูดยังไม่ทันจะจบเลย ทันใดนั้นเองเจ้าลูกหมีก็กระโดดกัดกระเป๋ากล้องฉัน
ฉันยังนึกว่ามันหยอกเล่นด้วยความไม่ประสา แต่ที่ไหนได้เล่นเอาเข็มกลัดที่ติดอยู่กับกระเป๋ากล้องเกือบกระจุยไปเหมือนกัน
สักครู่เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดี วิ่งมาแต่ไกลไล่มันเข้าป่าไป พวกเราก็เลยอดถ่ายภาพเจ้าหมีน้อยกันเลย
เจ้าหน้าที่เล่าให้พวกเราฟังว่า เจ้าหมีน้อยสองตัวนี้มีนามว่า
เจ้าคุ้มกับเจ้าครอง อายุเพียง 8 เดือน ก็ต้องกำพร้าแม่เสียแล้ว เนื่องจากมีมนุษย์ใจร้ายบางคนคร่าชีวิตแม่ของมันเพียงเพื่อต้องการผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย
จากพวกนายทุนค้าเนื้อสัตว์ป่า เพื่อส่งไปยังร้านอาหารใหญ่ๆ แล้วนำไปแปรสภาพให้เป็นอาหารจานหรูของบรรดาเศรษฐีคนมีกระตังค์
เขาจะรู้มั๋ยน๊า? ว่ามันต้องแลกมาด้วยชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไปของเจ้าลูกหมูที่น่าสงสารเหล่านี้
พี่อ๋องเล่าให้ฉันฟังว่า ไม่ใช่แต่เพียงเจ้าคุ้มกับเจ้าครองเท่านั้นที่ประสบชะตากรรมเช่นนี้เจ้าเพชรกับเจ้าพลอยก็เป็นลูกหมี
อีกคู่ที่ร่วมชะตาชีวิตเดียวกัน หากแต่เจ้าเพชรเจ้าพลอยได้โตพอที่จะออกไปเผชิญชีวิตในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลดังที่
มันควรจะเป็น โดยไม่ต้องอยู่ในความคุ้มครองของเจ้าหน้าที่อีกต่อไป
ฉันฟังแล้วรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน การพลัดพรากจาก
สิ่งที่รัก ลองนึกดูซิว่าถ้าเป็นเราเอง ถ้าเป็นคุณ
ถ้าโดนเข้ากับใคร จะรู้สึกเช่นไร
เมื่อตะวันคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าก็มืดมิดเต็มที
พระจันทร์เริ่มส่องแสงตามหน้าที่ แสงดาวก็ริบหรี่ไม่อาจเปล่งรัสมีสู้แสงจันทร์
ในระหว่างเดินทางกลับที่พักนั้น ฉันได้พบกับเจ้าหิ่งห้อยน้อยที่คอยเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ในความมืดมิดเต็มไปหมด
จนฉันอดไม่ได้ที่จะวิ่งไล่จับมันไว้ใน
อุ้งมือทั้งสองข้าง แล้วปล่อยมันให้บินอย่างเป็นอิสระต่อไป
พี่อ๋องชี้ให้ฉันดูเห็ดเรืองแสงที่เกาะตามต้นไม้ใหญ่ในความมืดและเล่าว่า
นักเดินป่าที่ขวัญอ่อน มักจะคิดว่าเป็นผีสางนางไม้ ทำให้วิ่งหนีกันจนป่าราบ
ทั้งที่จริงแล้วเห็ดเรืองแสงเหล่านี้เวลาเกาะกลุ่มรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ คนเรามักจะจินตนาการ
เป็นรูปร่างต่างๆ และคิดอย่างไสยศาสตร์ มากกว่าจะคิดอย่างวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้เป็นเพราะบรรยากาศในป่ายามค่ำคืนเป็นใจ
ให้คิดไปตามความเชื่อก็เป็นได้ ฟังพี่อ๋องเล่าแล้วทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นเยอะ
อย่างน้อยคราวหน้าฉันเห็นแสงอะไรยามค่ำคืน
ในป่าจะได้ปลอบใจตัวเองได้ว่า " เฮ้ย! มันก็แค่เห็ดเรื่องแสง
ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกน่า"
พี่อ๋องยังสอนการเดินป่าในยามค่ำคืนให้ฉัน สอนการดูทิศทางของพระจันทร์และการโคจรของดวงดาว
" นั่นดาวเหนือ ดาวลูกไก่ ดาวไถ
"
พอพวกเรากลับถึงที่พัก ฝนก็เทกระหน่ำลงมาทำให้อากาศยามค่ำคืนหนาวเย็นดีแท้
ฉันนอนกอดดาวเพื่อนของฉันใต้ผ้าห่ม
อุ่นๆ ค่ำคืนนี้ฉันคงหลับฝันดีทั้งคืน
เช้าวันที่ 8 กรกฎาคม 2541
เช้าวันนี้พี่อ๋องกับพี่บอยพาพวกเราเดินเที่ยวป่าเขาใหญ่และหวังเหลือเกินว่า
พวกเราคงจะโชคดีได้พบกับเจ้าคุ้มเจ้าครอง ลูกหมีน้อยทั้งสองตัวอีกหน เพื่อจะได้เก็บภาพที่น่าเอ็นดูของมันทั้งสองไปฝากคนที่ไม่มีโอกาสได้มาพบเห็น
แต่แล้วพวกเรา
ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะเช้านี้ของพวกเราได้สายเกินไปเสียแล้วเจ้าหน้าที่บอกพวกเราว่า
" มันออกมาตั้งแต่เช้ามืด
แล้วหละครับ คงกลับเข้าป่าไปแล้ว ค่ำๆ ลองกลับมาดูใหม่ซิ"
พวกเราเดินชมธรรมชาติและสัตว์ป่าไปเรื่อยๆ แล้วจึงเดินลัดเลาะไปทางสนามกอล์ฟ
เพื่อโบกรถต่อไปยังที่ทำการต่างๆ
แวะชมน้ำตกในเขตที่ทำการอุทยานฯ อาทิ น้ำตกเหวสุวัฒน์
น้ำตกผากล้วยไม้และน้ำตกกรองแก้ว น้ำตกแต่ละที่ล้วนแล้ว
แต่มีความงดงามและความโดดเด่นในตัวของมันเอง
น้ำตกกรองแก้วคือจุดสุดท้ายของการเดินทางในเย็นวันนั้นแล้วพวกเรา
จึงเดินทางกลับที่พัก
ค่ำคืนนี้ ณ ค่ายพักเยาวชนบนเขาใหญ่ ดูเหมือนจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปเพราะได้มีนักเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ
ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้แวะเวียนเข้ามาพักจนเต็มบ้านพัก
ค่ำคืนนี้ช่างดูครึ้กครื้นกว่าคืนก่อน
จุดเริ่มต้นของความมันส์ได้บังเกิดขึ้น เมื่อกลุ่มนักเดินทางที่เข้ามาใหม่พูดกันคนละภาษากับฉัน
และบังเอิญได้มานอนติด
กันกับฉัน กลุ่มแรกเป็นนักศึกษาสาวชาวเดนมาร์ก
ชื่อคริสติน่ากับดีน่า เธอเป็นนักศึกษาแพทย์แลกเปลี่ยนของ ม.มหิดล เธอมาพร้อมกับหนุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนสองคน
คือพี่เอ (นรินทร์) กับพี่เอ (สุระ) และอีกกลุ่มเป็นหนุ่มชาวอาทิตย์อุทัย
มีนามว่าทากุและเคนจิ ดูเหมือนจะเป็นการยากยิ่งนักที่จะสื่อสารกันเข้าใจ แต่หารู้ไม่ว่าค่ำคืนนี้เองที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับคำว่า
"มิตรภาพไร้พรมแดน"
ฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษที่คืนนี้จะต้องสนทนากับชาวต่างชาติจนเมื่อยมือเป็นแน่แท้
ดาวเพื่อนของฉัน เธอมักชอบสนทนา
กับชาวต่างชาติ ทั้งที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยที่จะทำให้เราได้มิตรภาพดีๆ
กลับไป พวกเราเห็นจะต้อง
ขอบคุณพี่เอ (นรินทร์)กับพี่เอ (สุระ) ที่ช่วยเป็นล่ามให้พวกเราได้สนทนาและร่วมเล่นเกมส์กับเพื่อนชาวต่างชาติได้
เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
เพื่อนร่วมวงสนทนาในที่นี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแทบทั้งสิ้น
มีบางคนที่อายุมากกว่ากันก็ไม่กี่ปี จึงทำให้การสนทนาเป็น
ไปอย่างไม่ขัดเขิน ส่วนพี่อ๋องขอตัวไปก้งเหล้ากับเพื่อนๆ
เจ้าหน้าที่ พวกเราจึงมานั่งสนทนากันตามประสา โดยเริ่มจากทาก
ุกับเคนจิ เล่าว่า เขาพึ่งมาจากนครวัด - นครทม
ประเทศกัมพูชา พวกเขาเอารูปมาอวดพวกเราและยังเล่าถึงอุดมการณ์รวม
ทั้งความฝันของตนว่า อนาคตอยากเป็นนักกฏหมาย
จะได้คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม เขาอยากช่วย
เหลือคนยากจนให้ได้รับอิสรภาพ อีกทั้งยังอยากท่องเที่ยวไปให้ทั่วโลกฉันอดรู้สึกชื่นชมในความคิดของหนุ่ม
ชาวอาทิตย์อุทัยทั้งสองคนไม่ได้
ฉันกับดาวชอบขอให้ทากุกับเคนจิเต้นและร้องเพลงมารุโกะจังให้พวกเราฟัง
ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเต็มใจแสดงโชว์เหลือเกิน
พวกเราเห็นแล้วอดขำไม่ได้ทุกที พวกเราแลกเปลี่ยนของที่ระลึกซึ่งกันและกัน
ฉันให้เข็มกลัดรูปฉัน ส่วนทั้งสองให้
สติ๊กเกอร์รูปพวกเขาเป็นการแลกเปลี่ยน พอพวกเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้วก็เริ่มมีการหยอกล้อกันบ้างเป็นการรับขวัญ
โดยมีพี่หมอเอ (สุระ) ขอให้ฉันจับเจ้าตุ๊กแกบินที่เกาะข้างฝาผนังบ้านพักไปให้คริสติน่ากับดีน่าดูใกล้ๆ
ด้วยความซื่อของฉัน
พี่หมอขอร้องให้จับก็ไม่กล้าปฎิเสธ แค่เอาไปยื่นให้ดูเท่านั่นแหละสาวชาวเดนมาร์กทั้งสองก็ร้อง
OH! MYGOD !! แล้ววิ่งหนีกันซะบ้านพักสะทืน ส่วนเจ้าทากุเคนจิอยากรู้ว่าเขาดูอะไรกันก็วิ่งตามมาขอดูพอยื่นให้ก็ร้องเสียงหลงแล้วหัวเราะ
แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ ฉันกับดาวและพี่หมอจอมบงการก็อดหัวเราะท้องแข็งไม่ได้ที่ได้กระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนๆ
ชาวต่างชาติเล่น
กับประสา
พอทุกคนสนุกกันเต็มที่แล้ว พี่เอ (นรินทร์) ก็ชวนตั้งวงเล่นไพ่สลาฟจนดึกดื่น
โดยมีพี่เอเป็นผู้อธิบายให้ทากุกับเคนจิฟัง เกมส์เป่าฉิงฉุบดูเหมือนจะเป็นเกมส์ที่ชาติไหนๆ
ก็เข้าใจได้ง่ายที่สุด เพียงแต่เรียกกันคนละภาษาเท่านั้นเอง ทากุบอกพวกเรา
ว่า ภาษาญี่ปุ่นเรียกเกมส์นี้ว่า " Janken hell"
หรือ " Injan hell " พวกเรามีกฎกติกาข้อบังคับกันนิดหน่อยเพื่อให้เกมส์เกิด
รสชาติดุเด็ดเผ็ดมันส์ โดยมีการลงโทษผู้ที่เล่นเกมส์แพ้ในแต่ละตา
พวกเราลงโทษโดยการใช้นิ้วชี้ประชิดกันนิ้วกลาง(คู่กัน) แล้วตีแรงๆ แบบสุดชีวิตไปที่ข้อมือของผู้ที่แพ้ดัง
" เพี้ยะ! " และ " โอ้ย" คือเสียงที่ทุกคนได้ยินดังตามมาจากผู้ที่แพ้ คนที่ฉันรู้สึกสงสารมากที่สุดก็เห็นจะเป็นพี่เอ
(นรินทร์) ผู้ที่ริเริ่มตั้งวง พวกเรารู้สึกว่าคุณเธอจะให้เกียรติ์แพ้บ่อยมาก
ก
ประมาณว่าต้อนรับปีอะเมซซิ่งกระมัง แขนคุณเธอนี่แดงเป็นเทือกเชียว ฮ่าๆ
แต่ถึงจะสงสารยังไงก็ไม่มีใครปราณีใคร
หรอกเพราะเกมส์คือการแข่งขัน ตอนหลังพวกเราจึงขอเปลี่ยนกติกามาเป็นคนแพ้โดนดีดนิ้วแทน
ไม่ว่าจะเปลี่ยนกติกา
ยังไงพี่เอก็ยังคงเป็นผู้ที่ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดอยู่ดี
โถ
น่าสงสาร
พอเริ่มดึกสะงัด ฉันจึงขอตัวเข้านอน ทุกๆ คนจึงได้แยกย้ายกันเข้านอนบ้าง
ออมแรงไว้เดินป่าในวันพรุ่งนี้ เห็นจะมีก็แต่
ทากุกับเคนจิที่ยังไม่หลับไม่นอน ออกไปนั่งดูพี่อ๋องดื่มเหล้านอกชาน
พวกเขาคงยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่หรือไม่ก็คงอยาก
จะเก็บวันเวลาและค่ำคืนบนเขาใหญ่แห่งนี้ไว้ให้ยาวนานที่สุด
เช้าวันที่ 9 กรกฎาคม 2541
สำหรับเช้าวันนี้ ฉันยังคงตื่นนอนก่อนใครเพื่อน
ต่อจากฉันก็เป็นทากุและตามด้วยคนอื่นๆ ฉันรู้สึกประทับใจในตัวทากุ
เหลือเกิน เมื่อเห็นเชาหยิบไม้กวาดมาปัดกวาดชานหน้าบ้านพัก
ซะสะอาดเรียบร้อย เขาช่างเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ที่น่ารักดีแท้
ฉันเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าอีกวัน ดูนกชมไม้ไปเรื่อยๆ
พร้อมกับพี่หมอเอ พี่เอ (นรินทร์) พี่บอย คริสติน่า และดีน่า
ส่วนดาวเพื่อนของฉันยังคงนอนฝันหวานไม่ตื่นเช่นเคย
ระหว่างการเดินทางดูนก เก้ง กวางและสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ
อยู่นั้น พวกเราก็เล่นถามคำถามต่าง ๆ นานา โดยเริ่มที่ฉัน
เป็นผู้ถามก่อน
????????????????????????????????????????????????
ทุกคนเงียบกันไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า " ยอมแพ้ "
ฉันหัวเราะชอบใจที่ไม่มีใครตอบคำถามของฉันได้ พี่ๆ ทั้งหลายรีบเร่ง
ให้ฉันเฉลย ฉันก็เลยเฉลยไปว่า แอ่น แอน " ก็ยักษ์นั่งกินข้าวในห้องส้วมไงหละ
" ฮ่าๆ
ฉันยังหัวเราะไม่ทันจะเต็มอิ่มเลย ทุกคนก็ โฮ่
ซะแล้ว หาว่าฉันเพี้ยน ถามอะไรก็ไม่รู้ใครจะไปตอบได้ ก็แม้ฉันก็เอาคำถาม
มาจากเรื่อง โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง
อีกทีนี่นา
จากนั้นทุกๆ คนจึงเปลี่ยนกันตั้งคำถามบ้าง โดยบางคำถามจะมีพี่เอ
(นรินทร์) เป็นร่ามแปลเป็น ภาษาอังกฤษอีกที เพื่อให้
คริสติน่ากับดีน่าได้ร่วมสนุกด้วย ระหว่างทางการเดินชมธรรมชาติบนเขาใหญ่เช้านี้
จึงพิเศษและเพิ่มความทรงจำที่ดีๆ
ให้กับฉันอีกวัน ฉันคงต้องขอบคุณพี่เอ (นรินทร์)
เป็นพิเศษที่มีน้ำใจแบ่งขนมหวานให้ฉันได้กินตลอดทาง
ประมาณเก้าโมงเช้า พวกเราจึงเดินกลับค่ายพักเยาวชน
เพราะคริสติน่ากับดีน่าบ่นหิวข้าวเช้าเสียแล้ว ฉันกับพี่บอยจึงร่ำลา
กลุ่มพี่หมอแยกกันไปคนละทาง เพราะฉันตั้งใจจะเป็นไกด์พาทากุกับเคนจิเที่ยวเขาใหญ่
จนกระทั่งเวลาประมาณ บ่ายโมง
พวกเราพาทากุกับเคนจิไปชมพิพิธภัณฑ์และพาเดินป่า
ชมน้ำตกกรองแก้ว ซึ่งระหว่างทางนั้น พวกเราก็ได้พบกับเพื่อน
ร่วมทางตัวน้อยๆ ที่สุดแสนจะน่ารักน่าชัง นั่นก็คือ
ทากดูดเลือดเพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้รับเชิญ
ดาวเพื่อนของฉันกลัวทากและไส้เดือนเป็นที่สุด
และวันนี้เธอก็ดูจะโชคร้ายที่สุดเพราะโดนเจ้าทากดูดเลือด กระโดดชูคอ
ขอกระชับความเป็นมิตรด้วยอย่างสุดซึ้ง ปาเข้าไปเกือบยี่สิบตัว
กรี๊ด
คือเสียงที่ทุกคนได้ยินเต็มสองรูหู ดังมาแบบไม่ขาด
สายเลยทีเดียว
" นุชจับออกให้เราเดี๋ยวนี้ (ย้ำ) เดี๋ยวนี้ ฮือๆ
" ฉันจึงต้องจับออกให้ตามคำสั่งแกมขอร้องไม่อย่างนั้นคงได้มีการฟังเสียง
กรี๊ดของเจ้าหล่อนกันตลอดทาง
พี่อ๋องเห็นท่าไม่ดี สงสารดาวด้วย ก็เลยพาถอยทัพกลับ
ทากุกับเคนจิ ส่ายหน้าแล้วถามว่า " What is it ? " พี่อ๋องจึงอธิบาย
ให้เขาทั้งสองฟัง
พอออกมาพ้นดงทาก ฉันกับเคนจิได้ทีแกล้งเอากิ่งไม้เล็กๆ
มาใส่ดาว ดาวตกใจนึกว่าเป็นทากดูดเลือดเสียง กรี๊ด
จึงได้
บรรเลงขึ้นอีกครั้ง ฮ่าๆ
ฉันกับทากุหัวเราะจนท้องแทบแข็ง
พร้อมทั้งจับมือแสดงความดีใจในความสำเร็จที่ทำให้ดาว
กลัวได้ ดาวโกรธมาก เธอวิ่งไล่ฉันกับทากุสุดชีวิตแล้วตะโกนมาไล่หลังว่า
" not funny " ฉันกับเคนจิจึงยอมรับผิด
โดยการเข้าไปขอโทษขอโพยเจ้าหล่อน
ทากุกับเคนจิพยายามหัดพูดภาษาไทย แต่พูดไม่ค่อยชัด
ทั้งสองมักจะพูดว่าไม่เป็นไร โดยออกเสียงว่า มาย - เป็น - ลาย
เสมอๆ เวลาโดนฉันกับดาวแกล้ง แต่ทั้งสองจะสามารถเรียกชื่อฉันกับดาวได้ชัดเจน
ฉันกับดาวเป็นปลื้มทุกทีที่ได้ยินทั้งสองเรียกชื่อ
และอดยิ้มไม่ได้ทุกทีเวลาที่ทั้งสองเดินผ่านคนไทยที่มาเที่ยว แล้วพูดคำว่า
"สวัสดีครับ" พร้อมกับยกมือไหว้คนไทยซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ
และฉันก็รู้สึกภูมิใจคนไทยเหลือเกินที่กล่าวคำทักทาย
ตอบกลับเขาทั้งสอง และยิ้มแย้มต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยี่ยมเยือนบ้านเมืองของเรา
และแล้วจุดสุดท้ายของการเดินทางก็ได้สิ้นสุดลง
ฉันไม่อยากให้เวลาเหล่านี้มาถึงเลย เพราะมันเป็นเวลาแห่งการลาจาก
ถ้าฉันเป็นผู้วิเศษ สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่ฉันจะขอในตอนนี้
ก็คือ ขอให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ให้นานๆ แต่เพราะฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ
ทากุกับเคนจิจับมือฉันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อบ่งบอกถึงการลาจาก
การโบกมือลา สายตาที่อาลัยอาวรณ์ของทุกๆ คนสื่อถึงกัน
ได้อย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก จะมีก็แต่เพียงคำสัญญาที่ให้กันไว้ว่า
จดหมายจากแดนไกลจะติดตามคุณไปในไม่ช้า ?????????
จับเข่าคุยกันเดี๋ยวนึงซิ จะรีบไปไหน ๆ
" สวัสดีคะ" คงเป็นคำทักทายแรกของฉัน ก่อนที่ฉันจะเริ่มคุยถึงเรื่องราวความเป็นมาของงานเขียนชิ้นนี้
ฉันเป็นเด็กผู้หญิง
ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ เกิดในชนบทห่างไกลเมืองหลวง
แต่ไม่ห่างไกลความเจริญเท่าไหร่นัก บ้านเกิดของฉันมีสถานที่ท่องเที่ยว
ที่สำคัญแห่งหนึ่งซึ่งใคร ๆ ก็รู้จักและอาจจะต้องร้อง
อ๋อ ! หากได้ยินชื่อเพราะสถานที่แห่งนี้ เคยเป็นข่าวคราวดังมาแล้ว
ทั่วโลก คุณอาจจะลอง เดา ๆ คำตอบอยู่ในใจแล้วก็เป็นได้
กฏของนักเขียนที่ดีไม่ควรหลอกให้ผู้อ่านค้างคาใจอยู่นาน เฉลยเลยนะคะ " เอาไมเคิลแจ๊คสันคืนไป
เอาพระนารายคืนมา " ก็ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ นั่นหละคะ บ้านเกิดที่ฉันรู้สึกรักและภูมิใจเป็นที่สุด
เพราะเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เปรียบเสมือนโลกใบแรกที่กว้างใหญ่สำหรับฉันในวัยเด็ก
และโลกใบนี้เองที่ทำให้ฉันได้เริ่มเรียนรู้ในสิ่งรอบกาย
และคล้าย ๆ ว่าจะมีที่ว่างมากพอสำหรับจินตนาการ
ฉันเคยเป็นเด็กช่างฝัน ฝันของฉันในวันเด็กมีมากมายเต็มไปหมด
ฝันอยากเป็นนางพยาบาลสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ฝันอยาก
เป็นนางฟ้าใจดี ฝันอยากเป็นซุปเปอร์แมนทรงพลัง
จะได้คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และฉันยังฝันอยากเป็นนักเขียน เป็นกวีเอก เหมือนท่านสุนทรภู่
ฉันยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ วิชาภาษาไทยคุณครูมักจะท่องโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
ของท่าน
สุนทรภู่ให้พวกเราฟังบ่อย ๆ และนั่นก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เด็กอย่างฉันนึกฝันและจินตนาการตามโคลงกลอนที่ได้ฟัง
ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงทำให้ฉันได้เรียนรู้ ว่ายังมีโลกใบที่สอง
สาม สี่ และห้า
รออยู่ข้างหน้า รอที่จะให้ฉันได้เดินทางเข้าไป
สัมผัสและเรียนรู้ชีวิตใหม่เพิ่มเติมจากเดิมที่เคยมีอยู่รอบกายและคล้าย
ๆ กับว่าจะมีที่ว่างมากพอสำหรับจินตนาการที่เพิ่มมาก
ขึ้นตามวุฒิภาวะและประสบการณ์ การเรียนรู้ ฉันจึงเริ่มที่จะฝันอีกครั้งและเพื่อสานฝันของฉันให้เป็นจริง
ฉันจึงเริ่ม
ขีดเขียนอักษรประสมทำนองกลอนเล็กๆ น้อยๆ ในงานเขียนชิ้นนี้
ส่งไปยังผู้ที่มีใจรักในสิ่งเดียวกันและฉันหวังแต่เพียงว่า
คุณจะร่วมเติมเต็มจินตนาการของคุณไปพร้อม ๆ กับการอ่านงานเขียนของฉันเพราะฉันมีที่ว่างมากพอสำหรับจินตนาการที่ดี
ที่จะมีร่วมกันกับคุณ
สุดท้ายนี้ ฉันขอกล่าวคำขอบคุณนับแสนนับล้านคำ
เพื่อส่งไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งทำให้งานเขียนชิ้นนี้ของฉัน
เสร็จสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางทุกคนที่ทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนและสานฝันของฉันให้เป็นจริง
ขอบคุณพี่หญิง สุจิตรา เปลี่ยนรุ่ง ที่ช่วยให้คำแนะนำที่ดี และท้ายที่สุดขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่มีจิตนาการและร่วมเดินทาง
ไปด้วยกัน จนก่อเกิดมิตรภาพกลางป่าใหญ่ยัยโก๊ะ
(ขมิบฝัน)
กรกฎาคม 2541 |