Power Points Chapter 1 (Download)
เนื้อหาในบทเรียน (Words) (Download)
![]()
ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์
คือ การกำหนด การดำเนิน และการควบคุมกลยุทธ์ เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ของบริษัท
การกำหนดเชิงกลยุทธ์จะเกี่ยวพันกับการวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งจากสภาพแวดล้อมภายใน การวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรคจากสภาพแวดล้อมภายนอก การกำหนดภารกิจและเป้าหมายระยะยาว และการเลือกกลยุทธ์ที่ดีและเหมาะสมที่สุดของบริษัท
การดำเนินกลยุทธ์จะเกี่ยวพันกับการกำหนดเป้าหมายระยะสั้น การกำหนดนโยบาย การวางแผนดำเนินการ การจูงใจพนักงาน และการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการบรรลุเป้าหมายระยะยาวของบริษัทที่กำหนดไว้ และการควบคุมกลยุทธ์ที่เกี่ยวพันกับการประเมินผลการดำเนินงานตามเป้าหมายของบริษัทที่กำหนดเอาไว้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
การบริหารเชิงกลยุทธ์จึงจัดได้ว่าเป็นการบริหารอย่างมีระบบ เป็นการบริหารที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของผู้นำองค์กร เป็นการบริหารที่มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน และมีการวิเคราะห์อย่างมีหลักเกณฑ์ อาจกล่าวได้ว่า นัยสำคัญของการบริหารเชิงกลยุทธ์ ก็คือ
· เป็นกระบวนการของการบริหารองค์กรโดยรวม
· เป็นการบริหารที่เน้นการสร้างอนาคตในระยะยาว
· เป็นการบริหารที่เน้นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์กร โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมภายนอกจะเป็นตัวผลักดันที่สำคัญที่สุด
· เป็นการบริหารที่เน้นการสร้างกลยุทธ์องค์กร และกลยุทธ์เพื่อการแข่งขันให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว
ประโยชน์และความสำคัญของการบริหาร/ การจัดการเชิงกลยุทธ์
เนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ได้เกิดขึ้น รวมทั้งลักษณะขององค์กรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และเงื่อนไขการแข่งขันใหม่ๆที่เกิดขึ้น ทำให้ปัจจัยหรือสาเหตุของความสำเร็จขององค์กรธุรกิจที่เคยมีมาในอดีตจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นผู้บริหารขององค์กรธุรกิจเองก็จำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา จาปสาเหตุดังกล่าวทำให้การศึกษาในด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริหารยุคใหม่ ซึ่งการจัดการเชิงกลยุทธ์มีลักษณะที่สำคัญดังนี้
1. การจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง ภารกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์กรธุรกิจอย่างเป็นระบบ เพื่อให้องค์กรมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
2. การจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นการกำหนดวิธีการหรือแนวทางในการดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆขององค์กรเพื่อให้บรรลุถึงทิศทางและวัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้น โดยในการกำหนดแนวทางในการดำเนินงานนี้ องค์กรธุรกิจจะต้องทำการวิเคราะห์และประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อค้นหาแนวทางในการดำเนินงานที่เหมาะสมที่สุดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ
3. การจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจเป็นหน้าที่หลักของผู้บริหารองค์กร ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่ากลยุทธ์และการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่ดีนั้นสามารถใช้เป็นเครื่องวัดถึงความสามารถในการบริหารของผู้บริหาร
4. การจัดการเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจทางด้านกลยุทธ์มักจะมีความเกี่ยวข้องกับ/ หรือมีผลต่อทิศทางในการดำเนินงานในระยะยาวขององค์กร
5. การจัดการและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มักจะเป็นความพยายามในการได้มาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) ขององค์กร โดยการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพหรือการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณค่าเหมาะสมกับราคาที่สุด
6. การตัดสินใจทางกลยุทธ์อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆขององค์กร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเสาะแสวงหาทรัพยากร (Resources) หรือความสามารถหลัก (Core Competencies) ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage)
7. การตัดสินใจทางกลยุทธ์ยังเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในระดับต่างๆขององค์กร โดยการดำเนินงานในระดับต่างๆ ขององค์กรจะต้องสอดคล้องและเกื้อหนุนต่อกลยุทธ์ขององค์กรและความสามารถในการดำเนินงานหรือการปฏิบัติงานจะเป็นสาเหตุสำคัญสำหรับความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร
8. กลยุทธ์ขององค์กรไม่เพียงจะเกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมภายนอกและปัจจัยภายในขององค์กรเท่านั้น แต่ค่านิยม ทัศนคติ ความคาดหวัง ของบุคคลฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับองค์กรมีผลต่อกลยุทธ์ด้วยกันทั้งนั้น
ความแตกต่างระหว่างการจัดการทั่วไปกับการจัดการเชิงกลยุทธ์
การจัดการเชิงกลยุทธ์นับเป็นทักษะทางด้านการจัดการชนิดหนึ่ง จะแตกต่างจากการจัดการโดยทั่วไปบ้างในบางประเด็น อาทิเช่น
· การจัดการเชิงกลยุทธ์จะพิจารณาและคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกองค์กรมากกว่า เช่น สภาวะแวดล้อมภายนอกด้านต่างๆ คู่แข่งขัน การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่ทำการแข่งขัน ฯลฯ ในขณะที่การจัดการโดยทั่วไปนั้นจะเน้นหนักที่การจัดการและบริหารงานภายในองค์กรมากกว่า
· การจัดการเชิงกลยุทธ์จะเน้นหนักที่การแข่งขันระหว่างองค์กรธุรกิจต่างๆเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว การจัดการเชิงกลยุทธ์จะทำให้ผู้บริหารมีความตื่นตัวและตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมก่อให้เกิดโอกาสใหม่ๆหรือข้อจำกัดต่างๆ รวมทั้งช่วยในการประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน ความเหมาะสม และความต้องของหน่วยงานในด้านทรัพยากรต่างๆ พร้อมทั้งมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัด เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินกลยุทธ์และประสบความสำเร็จในการบริหารงาน
· การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการจัดการที่คำนึงถึงความต้องการและความสำคัญของผู้ที่มีส่วนสัมพันธ์กับองค์กร (Stakeholders) หลายกลุ่ม ได้แก่ ลูกค้า ผู้จัดส่งวัตถุดิบ เจ้าของกิจการ สังคม เป็นต้น ในขณะที่การบริหารทั่วไปนั้นมักจะคำนึงแต่เฉพาะฝ่ายหรือเฉพาะแผนกของตนเอง ซึ่งจะให้ความสำคัญต่อ stakeholders ที่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่า stakeholders ที่เกี่ยวข้องกับทั้งองค์กร
· การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการจัดการที่มุ้งเน้นการบรรลุถึงเป้าหมายโดยรวมของทั้งองค์กร
· การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการรวมหรือหล่อหลอมหน้าที่ต่างๆภายในองค์กร รวมถึงความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์โดยรวมต่อทั้งองค์กรอย่างชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
· การจัดการเชิงกลยุทธ์จะเป็นการที่องค์กรได้นำความสามารถหลักอันโดดเด่นขององค์กร (Core Competencies), ทรัพยากร (Resources) ต่างๆที่องค์กรมี, ความสามารถ (Capabilities) ในแต่ละสาขาขององค์กร เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ รวมถึงการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันระยะยาว (Sustainable Competitive Advantage: SCA)
ปัจจัยที่สร้างข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันระยะยาว
(Sustainable Competitive Advantage) ประกอบด้วย:
|
ชื่อเสียงของบริษัท | |
|
นวัตกรรมด้านสินค้า/บริการ | |
|
ความสามารถด้านการบริการ | |
|
คุณภาพของสินค้าและบริการ | |
|
เทคโนโลยี | |
|
ทรัพยากรทางการเงิน | |
|
Core Competencies |
รูปแบบจำลองเบื้องต้นเกี่ยวกับขั้นตอนการบริหาร/การจัดการเชิงกลยุทธ์
|
ภารกิจและเป้าหมาย |
|
วิเคราะห์ภายนอก:
โอกาสและภัย |
|
SWOT
การเลือกกลยุทธ์ |
|
การวิเคราะห์ภายใน:
จุดเด่นและจุดอ่อน |
|
กลยุทธ์ระดับแผนก |
|
กลยุทธ์ระดับฝ่าย |
|
กลยุทธ์ระดับโลก |
|
กลยุทธ์ระดับบริษัท |
|
การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ |
|
ติดตามผลและประเมินผล |
องค์ประกอบของการบริหาร/ การจัดการกลยุทธ์
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1. การกำหนดทิศทางขององค์กร (Direction Setting) ได้แก่การกำหนดทิศทาง วิสัยทัศน์ ภารกิจ ปรัชญาและ วัตถุประสงค์ขององค์กร การกำหนดทิศทางขององค์กรจะเป็นการบ่งชี้ว่าองค์กรธุรกิจจะมุ่งไปในทิศทางใด หรือสาเหตุของการดำรงอยู่ขององค์กร หรือประเภทของธุรกิจที่องค์กรดำเนินอยู่ นอกจากนี้การกำหนดทิศทางขององค์กรจะยังช่วยในการแปลวิสัยทัศน์ (Vision) หรือภารกิจ (Mission) ขององค์กรให้กลายมาเป็นวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานที่มีลักษณะที่ชัดเจนในการกำหนดทิศทางขององค์กรนั้นคำถามที่สำคัญที่สุดและมักจะเป็นคำถามที่ถูกถามมากที่สุดก็คือ “ธุรกิจของเราคืออะไรและจะเป็นอย่างไรต่อไป”
การกำหนดทิศทางขององค์กรนั้นจะประกอบไปด้วย :
· การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) หรือสิ่งที่ผู้บริหารขององค์กรใฝ่ฝันอยากให้องค์กรเป็น
· กำหนดภารกิจ (Mission) หรือกรอบในการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งการกำหนดภารกิจที่
จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถตอบคำถามที่ว่า “เราคือใคร เราทำอะไร และเราจะมุ่งไปในทิศทางไหน”
นอกจากการกำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจแล้วการกำหนดทิศทางขององค์กรยังครอบคลุมถึงการแปลงวิสัยทัศน์และภารกิจที่อาจจะยังคงมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน ให้เป็นเป้าหมาย (Goals) หรือวัตถุประสงค์ (Objectives) ที่ชัดเจนสามารถบรรลุและวัดผลได้
· การกำหนดวัตถุประสงค์ (Objectives) หรือ เป้าหมาย (Goals) คือการเปลี่ยนแปลงหรือแปลความหมายของวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์กร ให้เป็นเป้าหมายในการดำเนินงานที่มีความเฉพาะเจาะจง สามารถวัดผลได้ชัดเจน นอกจากนี้การตั้งวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กรควรจะมีระยะเวลากำกับไว้ ทั้งในระยะสั้น (1-2 ปี) และระยะยาว (5 ปีขั้นไป)
ตัวอย่าง:
วิสัยทัศน์ ของร้านสะดวกซื้อคือ ขายสินค้าแก่ผู้บริโภคตลอด 24 ชั่วโมง
ภารกิจ ของร้านสะดวกซื้อแฟรนไชส์ที่เปิด 24 ชม. คือ เป็นผู้นำและสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวในธุรกิจสะดวกซื้อ
วัตถุประสงค์ ของร้านสะดวกซื้อ เช่น ต้องการขยายสาขาให้มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในปี 2532 ต้องการมีสาขา 7 สาขา, ปี 2533 ต้องการมี 27 สาขา และภายใน 5 ปีต้องมีสาขาครบ 500 สาขา
2. การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Analysis) คือการวิเคราะห์ถึงปัจจัยและสภาวะต่างๆที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อที่จะได้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ รวมทั้งสถานะของตัวองค์กรได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์จะบอกให้ทราบว่าปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมภายนอกมีลักษณะอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะใด และก่อให้เกิดโอกาสและข้อจำกัดต่อองค์กรอย่างไรบ้าง นอกจากนี้การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กรทราบถึงทรัพยากร (Resources) และความสามารถต่างๆ (Capabilities) ที่มีอยู่ภายในองค์กรว่าเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนอย่างไร และจะช่วยให้องค์กรสามารถบรรลุความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) อย่างไร จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ที่จะได้จากการวิเคราะห์ทางกลยุทธ์นั้น ประกอบด้วย โอกาส (Opportunities: O) และ ข้อจำกัด (Treats: T) ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก นอกจากนี้ยังสามารถที่จะรู้ถึง จุดแข็ง (Strengths: S) และจุดอ่อน (Weaknesses: W) ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายใน, ผลลัพธ์ทั้ง 4 ตัวนี้สามารถหาได้จากการวิเคราะห์ที่เรียกว่า S W O T Analysis นั้นเอง
3. การกำหนดแผนกลยุทธ์ (Strategic Formulation) หรือการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นขั้นตอนของการวางแผนสำคัญที่จะเริ่มจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์กร เพื่อกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่จะบอกทิศทางขององค์กร กลยุทธ์หลัก และกลยุทธ์ที่จะใช้ในการแข่งขัน
กลยุทธ์โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็นสามระดับ ได้แก่ กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate-Level Strategy) ซึ่งจะบ่งบอกถึงกลยุทธ์โดยรวมและทิศทางในการแข่งขันขององค์กรว่าควรจะเข้าสู่หรือออกจากอุตสาหกรรมใด กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business-Level Strategy) ซึ่งจะบ่งบอกถึงวิธีการที่องค์กรธุรกิจจะใช้ในการแข่งขันในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท และสุดท้ายคือ กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการหรืองานระดับธุรกิจ (Functional or Operational Strategy) ซึ่งครอบคลุมวิธีการในการแข่งขันและดำเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งกลยุทธ์ทั้งสามระดับจะต้องมีความสอดคล้องซึ่งกันและกันเพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ
ลำดับขั้นของการจัดทำกลยุทธ์
กลยุทธ์
องค์กร
กลยุทธ์ระดับธุรกิจ
กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ

นอกเหนือจากการจัดทำกลยุทธ์ขององค์กรธุรกิจโดยแบ่งเป็นสามระดับดังกล่าวแล้ว องค์กรธุรกิจยังต้องพิจารณาถึงการตัดทำกลยุทธ์ในสภาวการณ์ต่างๆ เช่น กลยุทธ์และการได้เปรียบทางการแข่งขัน หรือ กลยุทธ์การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
4. การนำแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategic Implementation) คือการนำเอาข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 และ 2 มาจัดทำเป็นกลยุทธ์ในระดับและรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการประเมินและคัดเลือกว่ากลยุทธ์ใดที่มีความเหมาะสมกับองค์กรที่สุด ขั้นตอนนี้จะเน้นการวางแผนดำเนินงานและการนำแผนงานต่างๆนั้นไปปฏิบัติ แต่การดำเนินงานตามขั้นตอนนี้ให้บรรลุผลก็จะต้องเตรียมความพร้อมของปัจจัยต่างๆ คือปัจจัยด้านบุคคลากร โครงสร้างขององค์กร ระบบงานต่างๆที่จำเป็น เพื่ออำนวยให้การนำแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัตินั้นบังเกิดผล
จากการนำแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัติแล้ว จะต้องมีการติดตามและประเมินผลกลยุทธ์ (Strategy Evaluation and control) ซึ่งจะเป็นการตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินงานตามที่ระบุไว้ในแผนกลยุทธ์ ปัญหาอุปสรรคต่างๆที่เผชิญอยู่เพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขให้เหมาะสม
งานในแต่ละขั้นตอนมีความสัมพันธ์กัน มีผลกระทบต่อกัน เพราะโดยทั่วไปแล้วองค์กรที่มีการบริหารกลยุทธ์ได้อย่างประสบผลสำเร็จนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวางแผนกลยุทธ์ที่ดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในขั้นของการพัฒนาหรือการสร้างแผนกลยุทธ์จะต้องนำขั้นตอนของการปฏิบัติมาพิจารณาร่วมด้วย เช่นปัญหาในเรื่องความพร้อมของบุคคลากร โครงสร้างขององค์กร วัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ เพื่อที่ว่าผู้บริหารได้ป้องกันหรือลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตลงได้ ทำให้ปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆลดน้อยลงในเวลาที่ได้มีการนำแผนกลยุทธ์นั้นไปปฏิบัติ และมีระบบการติดตามและประเมินผลเพื่อส่งข้อมูลย้อนกลับให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น
ในทางปฏิบัติแล้วส่วนประกอบต่างๆของการจัดการเชิงกลยุทธ์ไม่ได้มีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนตายตัว ดังนั้นอันดับขั้นตอนอาจไม่เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง ผู้บริหารจะเป็นผู้พิจารณาว่าสถานการณ์ขณะนั้นควรทำสิ่งใดก่อนสิ่งใดหลัง ดังนั้นผู้บริการต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้กำหนดกลยุทธ์ให้เหมาะสม (Fit Strategy) กับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดทำกลยุทธ์
ในการจัดทำกลยุทธ์นั้นจะมีปัจจัยต่างๆมากมายที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการจัดทำกลยุทธ์ บทบาทความสัมพันธ์ของปัจจัยเหล่านี้ต่อกลยุทธ์มักมีความสลับซับซ้อน และมีลักษณะเฉพาะตัวตามลักษณะของแต่ละอุตสาหกรรม ผลกระทบของปัจจัยต่างๆเหล่านี้ต่อกลยุทธ์มักมีความแตกต่างไม่มากก็น้อยสำหรับแต่ละองค์กร ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่กลยุทธ์สองกลยุทธ์หรือกลยุทธ์ขององค์กรสองแห่งจะมีความเหมือนกันทุกประการ ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารของแต่ละองค์กรจำเป็นต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆเหล่านี้อันประกอบไปด้วย
1. ปัจจัยด้านสังคม การเมือง กฎหมาย และชุมชน (General Environment Factors)
2. ความน่าสนใจของอุตสาหกรรมและสภาพการแข่งขัน
3. โอกาสและข้อจำกัดสำหรับแต่ละองค์กร
4. จุดแข็ง จุดอ่อน และความสามารถในการแข่งขัน
5. ค่านิยม ความทะเยอทะยาน รวมถึงหลักในการดำเนินธุรกิจและความเชื่อในเรื่องจริยธรรมของผู้บริหาร
6. อิทธิพลของค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรต่อกลยุทธ์
กลยุทธ์กับความสำเร็จและความล้มเหลว
จากกรณีศึกษาทั่วไปอาจจะกล่าวได้ว่า ในการวางแผนเชิงกลยุทธ์นั้น ความล้มเหลวในการวางแผน อาจจะกล่าวได้ว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70-80 ในการวางแผนนั้นมักจะล้มเหลว
ความล้มเหลวในการวางแผนกลยุทธ์นั้นเกิดจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน คือ
1. การวางแผนกลยุทธ์จะต้องเป็นแผนที่มีการประสานกันระหว่างผู้บริหารและพนักงาน กล่าวคือ จะต้องมีลักษณะที่เป็นทั้งจากบนสู่ล่าง (Top-down) และมีการระดมความคิด (Brainstorming) หรือเป็นลักษณะจากล่างสู่บน (Bottom-up) แต่ในทางปฏิบัติ การทำแผนกลยุทธ์ทั่วไปจะมีเพียงการสั่งการจากระดับหัวหน้าหรือผู้บริหารเพียงฝ่ายเดียว (Top-down) ผู้บริหารจะเป็นคนกำหนดเป้าหมายและแนวทางเพื่อให้คนในระดับล่างปฏิบัติ ซึ่งผลที่สุดก็คือไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีส่วนรวมหรือแลกเปลี่ยนความเห็น
2. อาจเป็นผลมาจากการขาดข้อมูลข่าวสาร ต้องยอมรับว่าในการวางแผนกลยุทธ์ การที่จะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกในระยะเวลา 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปีนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทนั้นๆต้องมีฐานข้อมูลที่ครอบคลุม นอกจากนี้แล้วบริษัทต้องมีบุคคลากรที่สามารถสังเคราะห์และวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ให้มีความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ เป็นความสัมพันธ์ที่จะเข้าใจถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงว่ากระทบกับบริษัทในทางบวกที่เราเรียกว่า โอกาส (Opportunities) หรือในทางลบที่เรียกว่า ข้อจำกัด (Threats)
3. ความล้มเหลวที่สืบเนื่องมาจากขั้นตอนในการทำหรือวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของบริษัท ต้องยอมรับว่าการทำแผนกลยุทธ์นั้นเป็นเรื่องของการเมือง กลุ่มคนที่มาทำแผนกลยุทธ์นั้นจะประกอบด้วยกลุ่มคนที่ใกล้ชิดผู้บริหารกับกลุ่มที่อาจจะอยู่คนละด้านกับผู้บริหาร เราอาจจะเรียกว่า “อคติ” ของบุคลากรที่ทำการวางแผนกลยุทธ์นั้นส่งผลต่อการไม่ได้มาซึ่งการหาจุดอ่อนหรือจุดแข็งที่แท้จริงนั้นเอง
4. ความล้มเหลวในการทำแผนกลยุทธ์ที่ทำให้เป็นแผนที่อยากได้ มากกว่าเป็น แผนที่ทำได้และไม่ตรงตามความเป็นจริงอีกประการหนึ่งนั้น เกิดขึ้นจากค่านิยมขององค์กร องค์กรที่มีค่านิยมแบบปิดหรือโครงสร้างแบบที่ไม่เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมอาจกล่าวได้ว่า เป็นองค์กรที่จะมีโอกาสทำแผนกลยุทธ์ให้ประสบผลสำเร็จได้ยาก ทั้งเนื่องจากว่าการทำแผนกลยุทธ์นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการแสดงออกถึงข้อเท็จจริง องค์กรที่จะสอดคล้องกับลักษณะดังกล่าวนั้นต้องเป็นองค์กรในระบบเปิด โดยมีการสื่อสารระหว่างกันทั้งระดับเดียวกันและระดับล่างกับบนเป็นอย่างดี