โฮม ขึ้น Chapter 1 Chapter 2 SWOT 5 Forces Core Competencies 7 องค์ประกอบองค์กรของ McKinsey

วิเคราะห์องค์กรด้วย “สวอท”

SWOT ANALYSIS

 

          SWOT เป็นเครื่องมือเชิงบริหาร/จัดการเพื่อใช้ในการวิเคราะห์องค์กร (ลองดูรูปที่ 2.1) ซึ่งเป็นรูปแบบของการบริหาร/จัดการเชิงกลยุทธ์โดย SWOT (อ่านว่า “สวอท”) จะอยู่ในขั้นตอนที่ 2 สำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการ วิเคราะห์ทรัพยากร (สิ่งแวดล้อมภายใน) และสิ่งแวดล้อมรอบตัวองค์กร เพื่อหาจุดแข็งขององค์กร (Strengths) จุดอ่อนขององค์กร (Weaknesses) โอกาสทางการแข่งขัน (Opportunities) และภาวะคุกคามจากภายนอก (Threats) แล้วนำผลที่ได้ไปช่วยการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ (ขั้นตอนที่ 3) โดยวิธีใช้เครื่องมือนี้อย่างละเอียดได้อยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ซึ่งกำลังจะกล่าวถึงต่อไป

          SWOT เป็นคำย่อมาจาก STRENGTHS (จุดแข็ง), WEAKNESSES (จุดอ่อน), WEAKNESSES (จุดอ่อน) และ THREATS (ภาวะคุกคามจากภายนอก) เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือที่ผมชอบมาเป็นพิเศษเพราะว่าเมื่อเวลาที่เราวิเคราะห์องค์กรหรือบริษัทของเรา เราก็มักจะมึนไม่ทราบว่าจะเริ่มกันตรงไหนดี เพราะเมื่อเราพูดถึงองค์กรมันเป็นภาพที่กว้างอยู่ในอากาศและมีแง่มุมต่างๆ มากมายเช่นว่า เราควรจะวิเคราะห์ในแนวไหน หรือใช้อะไรเป็นหลักเกณฑ์ เป็นต้น ดังนั้น SWOT นี่แหละจะเป็นเครื่องมือเริ่มต้นในการเปิดโลกองค์กรของเรา ทำให้เข้าใจพื้นฐานแง่มุมต่างๆ ขององค์กรอย่างกว้างๆ และ เมื่อเราจับประเด็นได้แล้วสามารถที่จะขยายประเด็นไปในแง่มุมต่างๆ ที่ลึกกว่าได้

SWOT

  เราลองมาดูกันว่า SWOT นั้นเป็นอย่างไร โดยรูปแบบของ SWOT ก็คือ การแบ่งหลักการวิเคราะห์/พิจารณาออกเป็น 4 แง่มุม คือ

STRENGTHS [S]

          หมายถึงสิ่งที่เป็นจุดแข็งขององค์กรเรา เช่น สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ บุคลากรมีคุณภาพ มีความโดดเด่นด้านตัวสินค้า มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมเป็นต้น

WEAKNESSES [W]

          หมายถึงสิ่งที่เป็นจุดอ่อนขององค์กรเรา เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับตัวแทนจำหน่ายไม่ค่อยราบรื่น ต้นทุนการผลิตของเราสูงกว่าคนอื่น และ สิ่งที่ตงข้ามกับจุดแข็งข้างต้น เป็นต้น

OPPORTUNITIES [O]

          หมายถึงสิ่งที่เป็นโอกาสหรือแนวโน้มที่ดีต่อองค์กรเราโดยาวะโอกาสจะเป็นสิ่งที่เป็นโอกาสหรือแนวโน้มที่ดีต่อองค์กรเรา เช่น สภาพเศรษฐกิจขาดีขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันลดต่ำ ลูกค้าเริ่มยอมรับแนวคิดใหม่ที่ตรงกับตัวสินค้าเรา เป็นต้น

THREATS [T]

หมายถึงภาวะคุกคามที่มาจากภายนอกองค์กร และมักจะตรงข้ามกับ OPPORTUNIES เช่นสภาพเศรษฐกิจขาลง ซึ่งจะส่งผลลบต่อธุรกิจ กลุ่มลูกค้าและซัพพลายเออร์มีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปในทางที่เป็นผลลบต่อบริษัท เป็นต้น

จะสังเกตว่า STRENGHT [S] และ WEAKNESSES [W] นั้นจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวขององค์กรเอง ส่วน OPPORTUNITIES [O] และ THERATS [T] เป็นสิ่งที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร (External Environment) ที่มีอิทธิพลกับตัวองค์การมากและมักจะอยู่เหนือการควบคุมของเรา เราไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แต่ถ้าเราสามารถจับกระแสสิ่งเหล่านั้นได้ เราก็สามารถที่จะปรับตัวได้ทันและเหมาะสมกับสถานการณ์ ผลตรงนี้ คือเราจะลดความเสี่ยงและพัฒนาโอกาสที่ดีให้เป็นจุดแข็งต่อไปได้ การที่จะมอง ว่าสิ่งใดเป็น OPPORTUNITIES [O] หรือ THERATS [T] นั้น บางครั้งอาจจะดูยากพอสมควร เพราะบางกรณีเหตุการณ์หนึ่งอาจจะเป็นโอกาสกับองค์กรหนึ่ง แต่สำหรับอีกองค์กรหนึ่งอาจจะเป็นภาวะคุกคามได้ สิ่งที่เราควรคำนึงไว้ คือเราต้องพิจารณาว่าองค์กรของเราอยู่ในธุรกิจประเภทใดและเหตุการณ์นั้นมีผลในทางบวกหรือลบต่อเรา ถ้ามีผลในทางบวกจะหมายถึงโอกาส แต่ถ้ามีผลในเชิงลบ ก็หมายถึงภาวะคุกคาม

ต่อไปเรามาดูวิธีการใช้เครื่องมือนี้กัน ก่อนอื่นเราจะมานั่งดูในแต่ละแง่มุมของบริษัทว่ามีรายละเอียดอะไรบ้างในแต่ละรายการ จากนั้นเราก็จะบันทึกลงไปในแต่ละช่องรายการ (S, W, O, T) อาจจะเป็นไปได้ว่าเราอาจจะค้นหาโดยภาพรวม แล้วนำผลที่ได้ใส่ลงไปในแต่ละช่องรายการตามที่เรานึกได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะต้องเรียงลำดับจาก STRENGTHS ไปจนถึง THREATS เพราะบางครั้งเราอาจจะติดขัดที่รายการใดรายการหนึ่งโดยไม่สามารถจะข้ามไป รายการอื่นได้ ก็จะทำให้เสียเวลา และในขณะเดียวกันเราบังเอิญนึกถึงรายการอื่นได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรอเก็บไว้

 

 

กำหนดภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์กร

ค้นหาโอกาส/       ภาวะคุกคาม

ค้นหาจุดแข็ง /         จุดอ่อน

ประเมินผล

นำกลยุทธ์ไปใช้

กำหนดกลยุทธ์

วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก

วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน

2.  วิเคราะห์ด้วย SWOT

1

5

4

3

 

 

 

 

 

 

 

รูปที่ 2.1 SWOT กับการบริหาร/ จัดการเชิงกลยุทธ์

 

องค์กรกับสิ่งแวดล้อม

          สำหรับอีกวิธีหนึ่งที่เป็นไปได้ คือการมองในแง่ความสัมพันธ์ที่องค์กรมีกับสิ่งแวดล้อม โดยเราจะแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 ส่วน ที่สำคัญนั่นคือ สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) และสิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร ทั้งนี้เพราะองค์กรต้องทำงานอยู่ภายใต้ 2 สิ่งแวดล้อมนี้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบกับตัวองค์กร ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

          ในส่วนของสิ่งแวดล้อมภายในคือทรัพยากร ของตัวองค์กรเองหรือสิ่งที่ประกอบกันเป็นองค์กรของเรา เช่น โครงสร้างองค์กร บุคลากร การบริหาร การเงิน การตลาด การวิจัยและพัฒนา  โดยที่เราสามารถใช้แนวทางนี้กับ S และ W ได้

 

หน่วยงานรัฐบาล

แรงงาน

คู่แข่ง

ลูกค้า

องค์กร

ซัพพลายเออร์

สังคม

ระดับชาติ

สิ่งแวดล้อมระดับการทำงาน

สิ่งแวดล้อมระดับมหาภาค

เทคโนโลยี

เศรษฐกิจ

กฎหมายและการเมือง

 

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับสิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) ก็คือสิ่งที่อยู่ภายนอกองค์กรโดยมีสิ่งแวดล้อมระดับการทำงาน (Task Environment) เป็น ส่วนที่ใกล้ตัวที่สุด (ดูรูป 2.2) ส่วนไกลตัวออกไปอีกคือสิ่งแวดล้อมระดับมหาภาค (Mega Environment) ซึ่งเราสามารถจะใช้แนวทางนี้กับ O และ T ได้โดยมีข้อพิจารณาหลักๆ คือ

          ลูกค้า [Customers and Clients]

          การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้าอาจมีผลกระทบกับองค์กรได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงในด้านขนาดของกลุ่มวัยรุ่นหรืออัตราส่วนของเพศหญิงมากกว่า เพศชาย สิ่งนี้อาจเป็นทั้งโอกาสของผู้ประกอบการบางกลุ่มและในขณะเดียวกัน ก็เป็นภาวะคุกคามสำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่มและในขณะเดียวกัน ก็เป็นภาวะคุกคามสำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่มได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนของกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นก็อาจจะถือเป็นโอกาสที่ดี (Opportunities) สำหรับธุรกิจดูและและจัดกิจกรรมผู้สูงอายุ หรือโรงพยาบาล แต่อาจจะเป็นผลในทางลบต่อกลุ่มธุรกิจประกันสุขภาพ เนื่องจากผู้สูงอายุมีอัตราเสียงด้านสุขภาพสูงกว่าคนทั่วไป เป็นต้น

          คู่แข่ง [Competitors]

          คือผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ทำธุรกิจเดียวกับเราเช่น ถ้าเราขายอุปกรณ์ภายในบ้านและสุขภัณฑ์ คู่แข่งของเราอาจจะเป็นร้านค้าประเภทเดียวกันที่อยู่ในละแวกเดียวกับเราหรืออาจจะเป็น Discount Store ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการดึงดูด และ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเคลื่อนไหวของคู่แข่ง จะส่งผลต่อตัวเราเป็นอย่างมาก ดังนั้นการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังต่อการเคลื่อนไหวของคู่แข่ง (Stay Alert) จะทำให้เรา สามารถปรับตัวตามได้อย่างรวดเร็ว

          ซัพพลายเออร์ [Suppliers]

          ซัพพลายเออร์ ก็คือผู้ที่ส่งวัตถุดิบหรือสินค้าให้กับเรา ถ้าจะถามว่าตัวซัพพลายเออร์มีอิทธิพลอย่างไรกับเรา? แน่นอนมีอิทธิถลในแง่ต้นทุนสินค้าหรืออำนาจการต่อรองราคาสินค้ากับ ซัพพลายเออร์ เป็นต้น

          ตลาดแรงงาน [Labor Supply]

          คือคนที่อยู่ในกลุ่มที่สามารถจะทำงานให้กับองค์กรได้ รวมทั้งภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ ตัวอย่างนี้เช่น ภาวะการขาดแรงงานในอุตสาหกรรมที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ก็จะส่งผลโดยรวมต่อกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งก็คือตัวเราที่อยู่ใน อุตสาหกรรม นั้นก็จะเดือดร้อนด้วย หรือต้นทุนด้านค่าแรงที่เปลี่ยนแปลงตามเขตอุตสาหกรรม เป็นต้น

          หน่วยงานของรัฐ [Government Agencies]

          องค์กรของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของเอกชน (Government Agencies) เช่น อย. ดูแลเรื่องอาหารและยา ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลกลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคาร ถ้าเราอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใดเราก็ควรจะตรวจสองดูว่ามีกติกา/หน่วยงานใดบ้างที่ครอบคลุมเราอยู่และมีผลดีผลเสีย ต่อเราอย่างไร เช่น ถ้าหน่วยงานรัฐออกกฎหมายการกำจัดสารพิษที่รัดกุมมาก ขึ้นโดยกำหนดว่าการกำจัดสารพิษต้องอยู่ภายใต้บริษัทผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น จะเห็นว่าผลกระทบจะอยู่กับคน 2 กลุ่มหลักคือผู้ประกอบการที่ก่อให้เกิดหรือต้องใช้สารพิษจะต้องมีต้นทุนในการกำจัดสารพิษสูงขึ้น ส่วนโอกาสที่ดีก็จะตกอยู่กับ บริษัทกำจัดสารพิษที่มีช่องทางในการทำธุรกิจมากขึ้น

          ด้านเศรษฐกิจ [Economic Element]

          คือระบบโดยรวมของการผลิต การจัดจำหน่าย การบริโภค รวมไปถึงระบบเศรษฐกิจ เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ซึ่งมีผลต่อเงื่อนไข กติกาและรูปแบบในการดำเนินธุรกิจ ถ้าเราสามารถมองภาพเศรษฐกิจได้ชัดเจนหรืออย่างน้อยเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง เราก็สามารถที่จะทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเราทั้งในแง่บวกหรือในแง่ลบ นั่นคือเราสามารถจะกำหนดได้ว่าเป็นข้อใดเปรียบหรืออาจจะเป็นสิ่งที่จะคุกคามเราหรือไม่ ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจเหล่านี้เช่น ภาวะเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ปริมาณสินค้าในท้องตลาดที่มีมากหรือน้อยเกินไป อัตราการผลิตของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม อัตราความต้องการสินค้าของผู้บริโภค เป็นต้น

องค์ประกอบด้านสังคม[Sociocultural Element]

สิ่งเหล่านี้เช่น ทัศนคติ ค่านิยม ศาสนา ความเชื่อหรือพฤติกรรมของผู้คน ที่มีผลต่อองค์กรและแนวทางการดำเนินงาน ตัวอย่างง่ายๆ เช่นพฤติกรรมด้านโภชนาการของผู้บริโภคที่ระวังเรื่องสุขภาพ โดยจะไม่รับประทานอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง เช่น ไข่ไก่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงไก่ไข่ เป็นต้น

ด้านเทคโนโลยี [Technological Element]

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีย่อมส่งผลกระทบต่อแทบจะทุกอณูของสังคม การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ฯ ย่อมมีผลต่อองค์กรในแง่ของระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ความสามารถในการผลิต และการให้บริการด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ เห็นได้ชัดมาก คือการเข้ามาของสถาบันการเงินจากต่างประเทศ ที่ไม่ได้นำมาแต่เพียงเงินทุนที่หนา แต่ได้นำเอาเทคโนโลยีทางด้านการบริการทางการเงินเข้ามาร่วมด้วย คาดว่าอีกสักพักเราคงจะได้เห็นการบริการเหล่านั้นอย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่น การซื้อขายหุ้น การชำระเงิน การทำรายการกับธนาคารผ่าน Internet ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป ในกรณีในเหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เราอาจจะมองได้ว่าเป็นภาวะคุกคาม THREAS (T) ต่อสถาบันการเงินอื่นๆ แต่ถ้าสมมุติว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วอย่างกว้างขวาง แล้วบังเอิญมีสถาบันการเงินหนึ่งไม่สามารถจะปรับตัวได้ทันเราจะมองว่าเป็นจุดอ่อน (WEAKNESSES) ของสถาบันการเงินนั้น

ส่วนองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตนั้น การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงระบบที่ใช้ในการผลิตที่ทันสมัยกว่า เร็วกว่า ประหยัดกว่า ทำให้องค์กรอยู่ในภาวะที่ได้เปรียบซึ่งสามารถเป็นจุดแข็งได้ STRENGTHS (S)

องค์ประกอบระดับชาติ [International Element]

คือสภาพแวดล้อมภายนอกประเทศที่สามารถจะสร้างคลื่นกระทบไปทุกภูมิภาพของโลก ตัวอย่างเช่น ผลการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC ที่อาจจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตขององค์กรภายในของประเทศของเรา หรือกลุ่มประเทศ EU ค่อนข้างจะอ่อนไหว กับแรงงานเด็กซึ่งมีผลในแง่การใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า หรือค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวันมีผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านการเงินและราคาสินค้านำเข้า หรือข้อบังคับตามสนธิสัญญาทางการค้า เหล่านี้ล้วนแล้วมีผลกระทบต่อองค์กรทั้งสิ้น

องค์ประกอบด้านกฎหมายและการเมือง [Legal – Political Element]

คือระบบกฎหมายและการเมืองภายในอาณาเขต/ประเทศที่องค์กรของเราตั้งอยู่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากเราต้องปฏิบัติตามกฎกติกาของแต่ละประเทศที่กำหนดไว้ อย่างเช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือแนวนโยบายด้านต่างๆ ของพรรคการเมืองที่ได้ประกาศไว้ก็มีผลกระทบด้วย เช่นกัน

การนำ SWOT มาใช้มักจะอยู่ในรูปของตารางซึ่งทำให้เราเห็นภาพพจน์ที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วสร้างตาราง SWOT เราจะทำให้แนวตั้ง อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาและอาจจะเป็นเพราะว่าจะทำให้ง่ายขึ้นเมื่อเราต้องเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ที่เราวิเคราะห์ได้ลงไปในแต่ละรายการ และรายการในแต่ละรายการอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ การลงรายการเราจะใช้ถ้อยคำที่กระชับง่าย สามารถสื่อสารกันได้ตรงประเด็น โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการลงรายการในแนวตั้งด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเราลงรายการเสร็จหมดเราก็จะเห็นว่ารายการใดมีมากที่สุด ถ้ารายการในช่อง S และ O มีมากกว่ารายการอื่น ก็จะรู้สึกสบายใจหน่อย แต่ถ้ารายการ W และ T มีมากกว่าก็จะรู้สึกว่าต้องเหนื่อยหน่อย

SWOT เป็นเครื่องมือ ทางการบริหาร/การจัดการเชิงยุทธวิธี (Strategic Management)  ผลของ SWOT จะทำให้เราทราบสถานะของเราโดยภาพรวมตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะนำผลที่ได้ไปเป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทาง ยุทธวิธี SWOT นั้นจะใช้ได้กับทุกองค์กรที่ได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว ถ้าจะทำให้ SWOT มีคุณค่ามากขึ้นก็ทำได้โดยการพยายามใช้ SWOT วิเคราะห์คู่แข่งด้วยเพื่อนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบองค์กรของเรา ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพสถานะของเราชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม SWOT เป็นรูปแบบพื้นฐาน บางครั้งอาจมีความไม่ชัดเจน เช่น ถ้าเราบอกว่า “บริษัทเรามีพนักงานที่มีคุณภาพ” ตรงนี้ตัว SWOT ไม่ได้ใส่คำอธิบายว่าทำไม/ในแง่ไหน เราอาจจะรู้กันเองระหว่างที่เราถกเถียงกัน แต่ถ้าเราส่งผลการวิเคราะห์ขึ้นไปยังผู้บริหารระดับสูงก็อาจจะก่อให้เกิดความสับสนได้ เพราะฉะนั้น SWOT อาจจะต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ เมื่อมีการนำเสนอ  (Present) ส่วนประการที่ 2 คือความที่เป็นเครื่องมือขึ้นพื้นฐาน จึงไม่สามารถใช้ในประเด็นที่ลึกลงไปได้ ในกรณีตัวอย่างข้างต้นที่เราบอกว่า “บริษัทเรามีพนักงานที่มีคุณภาพฯ ตามความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำนักเมื่อไม่มีเครื่องมือ เช่น แบบวัดประเมินผลมาช่วยในการตัดสิน และคำว่า “คุณภาพ” นั้นหมายถึงในระดับไหน ด้านใด

สำหรับ SWOT แล้ว มีข้อที่ควรคำนึงถึงอีกข้อหนึ่งคือโดยปกติแล้วเราจะไม่ใช้ SWOT กับองค์กรที่ยังไม่เกิดขึ้น หมายความว่าถ้าต้องการจะตั้งบริษัทขึ้นมาเรามักจะไม่ใช้ SWOT ในการวิเคราะห์สถานการณ์เพราะองค์ประกอบทั้งสี่ คือ S – W – O และ T ยังไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นไปได้ว่าอาจจะใช้เพื่อการวิเคราะห์แบบคร่าวๆ ส่วนเครื่องมือที่เหมาะสมกว่าในการวิเคราะห์เพื่อจะก่อตั้งองค์กร คือ “แรงกดดัน 5 ประการในการแข่งขัน” (Porter’s Five Forces) ซึ่งได้กล่าวถึงเช่นกันในหนังสือเล่มนี้ สำหรับตารางหน้าถัดไปนั้นเป็นตัวอย่างในแต่ละรายการที่ได้รวบรวมไว้พอประมาณ ซึ่งคิดว่าจะช่วยให้ท่านให้เห็นแนวทางในการใช้เครื่องมือนี้ชัดเจนมากขึ้น 

ตัวอย่างการทำ SWOT 

STRENGTHS(S)

WEAKNESSES (W)

OPPORTUNITIES (O)

THREATS (T)

1.   ได้รับการสัมปทานระยะยาว

2.    มีสิทธิบัตรคุ้มครอง

3.    ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง

4.    มีแหล่งข้อมูลที่สำคัญ

5.    บุคลากรมีคุณภาพ

6.    ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์

7.   พัฒนาการทางด้านการวิจัยมีความต่อเนื่อง

8.   มีความโดดเด่นพิเศษ (เช่น ด้านตัวสินค้า หรือยี่ห้อเป็นที่นิยม)

9.    มีทักษะทางการแข่งขันสูง

10.    มีประสบการณ์ยาวนาน

11.   การผลิตมีคุณภาพ

12.   ต้นทุนการผลิตต่ำ

13.  สัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า

14.สินค้าและบริการครบวงจร

15.  สถานที่ประกอบการอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ

1.   ขาดทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน

2.   ขาดสัมพันธภาพที่ดีกับซัพพลายเออร์

3.    พนักงานแตกแยกเป็นกลุ่ม

4.   ผู้บริหารขาดคุณลักษณะผู้นำที่ดี

5.   มีช่องทางการจัดจำหน่ายน้อยไป

6.   ขาดทักษะที่จำเป็นบางประการ

7.   การปรับตัวต่อสถานการณ์ช้าเกินไป

8.    ขาดทุนสะสมสูง

9.    การประชาสัมพันธ์ไม่ดี

10.  อัตราการสูญเสียในการผลิตสูง

11. ขาดความยืดหยุ่นในการทำงาน

1.    ขนาดของกลุ่มลูกค้าใหญ่ขึ้น

2.   สภาพเศรษฐกิจเอื้อต่อการเจริญเติบโต

3.   EU ยกเลิกกฎเกณฑ์ทางการกีดกันสินค้า (เช่น กำแพงภาษี)

4.   ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีผลทางบวก (เช่น มีความนิยมต่อสินค้าของเราสูงขึ้น)

5.   ซัพพลายเออร์มีการแข่งขันกันสูง (อาจทำให้มีการลดราคาวัตถุดิบ)

6.    ค้นพบตลาดใหม่ๆ

7.   คู่แข่งเกิดปัญหา (เช่นการบริหารภายใน หรือขาดเงินลงทุน)

8.   ตลาดของกลุ่มลูกค้า/ผู้บริโภคเติบโตขึ้น

1.     การเติบโตขึ้นของสินค้าทดแทน (เช่น การใช้พลาสติกเข้ามาแทนที่หวาย ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเกี่ยวกับหวาย)

2.     ความต้องการของตลาดไม่แน่นอน จะทำให้เราวางแผนประกอบการลำบากขึ้น

3.       คู่แข่งขยายการผลิต

4.       เกิดคู่แข่งรายใหม่

5.     การโยกย้ายถิ่นอาศัยที่อาจทำให้กลุ่มลูกค้าเดิมหายไป

6.     กฎเกณฑ์ที่มีมากขึ้น เช่น กฎเกณฑ์การผลิต การรักษาสิ่งแวดล้อม การควบคุมการใช้แรงงาน

7.     ภาวะตลาดของกลุ่มลูกค้าเริ่มซบเซา

โฮม ขึ้น Chapter 1 Chapter 2 SWOT 5 Forces Core Competencies 7 องค์ประกอบองค์กรของ McKinsey